‘JUST LET ME BE’ นิทรรศการศิลปะของ 50 นักวาดดาวน์ซินโดรม ที่เราไม่ต้องเข้าใจก็ได้ แค่ปล่อยให้เขาได้เป็นตัวเองก็พอ

“ใครจะคิดว่าเด็กดาวน์ซินโดรมจะมีผลงานจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ศิลปะ (MOCA) ตัวเราในฐานะที่เราเคยจัดแสดงงาน เรายังไม่เคยคิดเลยว่าเราจะได้ไป พวกเขาเป็นเหมือนสิ่งมหัศจรรย์ เกินความคาดหมายทุกอย่าง เป็นความสุข และสอนให้เรารู้ว่า ชีวิตมันก็แค่นี้ มันไม่มีอะไรหรอก” เปิ้ล-จาริณี เมธีกุล

มนุษย์ต่างวัยพาชมนิทรรศการที่ไม่ได้มีแค่ภาพวาด แต่พาชมเบื้องหลังของงานศิลปะที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของศิลปินเหล่านี้ ผ่านนิทรรศการ JUST LET ME BE นิทรรศการศิลปะครั้งแรกของประเทศไทย ที่เปิดพื้นที่ให้กับ 50 ศิลปินผู้มีภาวะดาวน์ซินโดรมและผู้บกพร่องทางสติปัญญา จาก 21/3 Art Studio และสมาคมผู้ปกครองคนพิการทางสติปัญญาแห่งประเทศไทย ได้แสดงผลงานและตัวตนอย่างภาคภูมิใจ และไปพูดคุยกับ 3 ครอบครัว ที่แต่เดิมอาจไม่เข้าใจลูกของตัวเองนัก แต่เมื่อพวกเขาค่อย ๆ ปล่อยใจ เปิดใจ และปล่อยลูกให้ได้เป็นตัวเอง ก็ได้พบศักยภาพของลูกที่ไม่เคยรู้มาก่อน

“ถ้าไม่เข้าใจ ไม่เป็นไรเลย…แค่ปล่อยให้เรา ได้เป็นตัวเอง”

นี่คือแนวคิดของนิทรรศการศิลปะที่สะท้อนความรู้สึกของคนที่เกิดมาพร้อมโครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมาอีก 1 แท่ง หรือที่คนทั่วไปมักเรียกว่า “ดาวน์ซินโดรม” พวกเขาไม่ต้องการความสงสาร ไม่ต้องการคำอธิบาย แค่ต้องการพื้นที่ในการเติบโตในแบบที่พวกเขาเป็น

JUST LET ME BE

21/3 Art Studio คือสตูดิโอศิลปะที่สร้างขึ้นเพื่อกลุ่มเอกซ์ตร้าโครโมโซม หรือผู้มีภาวะดาวน์ซินโดรม

นักเรียนของสตูดิโอนี้มีจำนวนกว่า  50 ชีวิต ตั้งแต่วัยเด็กเพียง 5 ขวบ ไปจนถึงผู้ใหญ่ในวัย 53 ปี และทุกคนเป็นผู้พิการทางสติปัญญา ทุกสัปดาห์พวกเขาจะมารวมตัวกันที่นี่พร้อมแววตาเปล่งประกายที่จะแสดงความเป็นตัวเองผ่านปลายพู่กัน ผลงานศิลปะของที่นี่ไม่มีกรอบเกณฑ์ ไม่ถูกตีกรอบด้วยความคิดทางศิลปะที่สอนกันในห้องเรียนทั่วไป แต่ที่นี่เปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้เป็นตัวของตัวเองอย่างแท้จริง

ลุงเปิ้ล ครูเปิ้ล หรือ เปิ้ล-จาริณี เมธีกุล ผู้ก่อตั้ง 21/3 Art Studio เล่าถึงสตูดิโอศิลปะแห่งนี้ว่า

“จริง ๆ แล้วพื้นที่ตรงนั้นรองรับได้ประมาณ 50 คน แต่ถ้าทุกคนขึ้นไปพร้อมกัน สตาฟก็จะจัดเฟรมไม่ทัน ก็เลยต้องหาวิธีถ่วงเวลาด้วยการตั้งไมค์ แล้วชวนให้แนะนำตัว บางคนอาจไม่พูดก็ไม่เป็นไร จุดประสงค์จริง ๆ แค่เพื่อให้ด้านบนมีเวลาจัดพื้นที่ แต่พอทำไปทุกวัน กลายเป็นว่าน้อง ๆ ได้ฝึกพูด จนพูดเก่งขึ้น”

ความไม่ตั้งใจได้กลายเป็นกิจวัตรประจำสัปดาห์ที่ทำให้นักเรียนของครูเปิ้ล ได้มีโอกาสออกมายืนพูดหน้าชั้น มีเพื่อนๆ ที่เป็นดาวน์ซินโดรมและผู้ปกครองเป็นผู้ฟัง

JUST LET ME BE

“เราไม่ได้ตั้งใจจะพัฒนาใครเลยนะ เพราะจริง ๆ ก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องการฝึกพูด อย่างน้องกิฟต์ ตอนมาเรียน 7 เดือนแรก กิฟต์ไม่พูดเลย ถามชื่อก็ไม่ตอบ แค่ขึ้นมาเรียนแล้ววาดรูปเหมือนเดิม รูปทรงก็คล้าย ๆ กัน เพียงแต่เปลี่ยนสี ซึ่งสีก็ขึ้นอยู่กับว่าเราหยิบสีไหนให้

“จนเข้ามาเดือนที่ 7 เรายังทำกิจกรรมเดิม ๆ ตอนเช้าที่มีกิจกรรมให้แนะนำตัวเอง อยู่ดี ๆ กิฟต์ก็พูดออกมาคำเดียวว่า ‘กิฟต์’ ห้องที่มีคนกว่า 50 คนกรี๊ดลั่นเลย ตอนเย็นเราก็ลองถามว่า ‘กิฟต์วาดรูปอะไร’ เขาตอบว่า ‘นก’ พวกแม่ ๆ ถึงกับร้องไห้กัน เราก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมต้องร้อง แต่พอรู้ก็ซึ้งมาก เพราะแม่เขาคิดมาตลอดว่าลูกพูดไม่ได้

“เราว่าที่ผ่านมา กิฟต์นั่งฟังเพื่อน ๆ แนะนำตัว ฟังเพื่อนพูดว่าวาดอะไร ‘นี่ภูเขา นี่เต่า’ เขาก็คงอยากพูดบ้าง จนวันนั้นหลุดคำว่า ‘นก’ ออกมา เหมือนศิลปะกลายเป็นสะพานเชื่อม เป็นภาษาสากลจริง ๆ แค่คำเดียว แต่ทรงพลังมาก ถึงขั้นทำให้คนที่แม่คิดว่าจะไม่มีวันพูดได้… พูดขึ้นมาได้จริง ๆ”

JUST LET ME BE

นี่คือ “จดหมายถึงแม่” ผลงานศิลปะของบูมที่ต้องการสื่อสารว่า

หนูรักแม่ที่สุดในโลกค่ะ หนูจะไม่ดื้อนะคะ หนูรักพี่แซมที่สุดในโลกค่ะ พี่แซมก็รักหนูค่ะ หนูรักพ่อที่สุดในโลกค่ะ พ่อก็รักหนูที่สุดในโลกค่ะ ขอให้แม่มีความสุขมาก ๆ นะคะ  ขอให้พี่แซมรักษาสุขภาพด้วยค่ะ ขอให้พี่แซมมีความสุขมาก ๆ นะคะ”

สิ่งที่ที่บูมพยายามจะสื่อสารผ่านภาพวาดของเธอ อาจจะไม่ตรงกับสิ่งที่คนทั่วไปคิด เพราะสำหรับคนทั่วๆไป ที่ต่างจากบูม สิ่งที่เธอเขียนบนภาพก็คือตัวอักษรภาษาอังกฤษ สีแดง ขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากัน ไม่ได้เป็นคำศัพท์ ประโยคหรือมีความหมายอะไรเหมือนตามหลักเกณฑ์ของภาษาอังกฤษ แต่สำหรับบูมนี่คือข้อความในจดหมายที่เธอต้องการสื่อสารความรู้สึกที่เธอมีต่อแม่ของเธอ

ในทุก ๆ ครั้งของการไปเรียนศิลปะจะมีกิจกรรมการพรีเซนต์ภาพของตนเอง ในครั้งที่น้องบูมเล่าถึงภาพวาดของตนเอง น้ำตาของคนเป็นแม่ก็ได้ไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว และไม่ว่าจะให้บูมอ่านจดหมายนี้กี่ครั้ง อ่านให้ใครฟัง บูมก็ยังคงอ่านด้วยประโยคเช่นเดิม บรรทัดเดิมที่เขียนไว้

“แม่ไม่เข้าใจหรอกว่าสิ่งที่เขาเขียนหรือสิ่งที่เขาวาดหมายถึงอะไร แต่แม่ก็ยอมปล่อยให้เขาทำตามใจเขา ลุงเปิ้ลเองก็ไม่เคยสอนตายตัว ทุกอย่างเปิดกว้างให้เด็ก ๆ สื่อสารในแบบของตัวเอง ถึงจะไม่มีใครอ่านออกหรือเข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าลูกเข้าใจ แค่นั้นก็พอแล้ว

“ตอนแรกแม่ก็กลัวนะ กลัวว่าลูกจะไปต่อไม่ได้ เพราะเขาชอบทำอะไรซ้ำ ๆ เขียนประโยคซ้ำ ๆ ที่ไม่มีใครเข้าใจ แต่วันนี้แม่ได้เห็นแล้วว่า ถึงเขาจะต่างไปบ้าง เขาก็ยังมีเส้นทางของเขา และเดินไปข้างหน้าได้”

นี่คือภาษาของบูม ไม่ต้องเข้าใจภาษาที่เธอเขียนก็ได้ แต่แค่ปล่อยให้เธอได้เขียนก็พอ

JUST LET ME BE

“บูมอายุ 29 ปีแล้ว เรียนจบหลักสูตรศิลปะจาก 21/3 Extra Studio แต่สำหรับแม่ สิ่งที่ลูกได้กลับมามากกว่านั้น คือการเรียนรู้ที่จะ ‘เป็นตัวของตัวเอง’ และนั่นแหละคือปริญญาชีวิตที่ทำให้แม่ภูมิใจเหลือเกิน มันตื้นตันไปหมด ไม่เคยคิดเลยว่าลูกจะเดินมาถึงตรงนี้ได้  ศิลปะทำให้ลูกได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่จริง ๆ

“วันที่รู้ว่าลูกเป็นดาวน์ซินโดรม ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาเลยคือ… ‘แล้วเราจะเลี้ยงลูกอย่างไรดี’ ตอนนั้นเหมือนโลกมืดไปหมด ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน พอลูกโตขึ้น แม่ก็พยายามหาที่เรียนให้เขา อยากให้เขาได้รับโอกาสดีที่สุด ลองไปตามโรงเรียนต่าง ๆ เกือบสิบโรงเรียน แต่ก็ไม่มีที่ไหนเหมาะ จนสุดท้ายแม่ก็ตัดสินใจไม่ให้เข้าโรงเรียน เพราะระบบมันไม่พร้อมสำหรับเขาจริง ๆ”  บุญเต็ม กอแก้ว แม่ของบูมเล่าย้อนถึงช่วงเวลาที่ต้องเลี้ยงลูกแรก ๆ

“แม่ก็ได้มารู้จักสมาคมฯ ได้พาลูกมาเรียนศิลปะกับลุงเปิ้ล ตรงนี้แหละที่กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิตลูก”

JUST LET ME BE

“เมื่อก่อนแม่ไม่เคยปล่อยให้มอสไปไหนมาไหนเองเลย ไปไหนก็ต้องไปด้วยกันสองแม่ลูก ทั้งไปประชุม ไปทำงาน ขายของ เรียกว่าตัวติดกันตลอด แม่กลัวไปหมด กลัวเขาหลงทาง กลัวเขาคุยกับใครไม่ได้ กลัวแม้กระทั่งว่าจะมีใครมาแกล้ง ไม่ใช่ว่าแม่ไม่ไว้ใจลูกหรอกนะ แต่แม่ไม่ไว้ใจสังคมข้างนอกมากกว่า” อรุโนทัย เกิดแก้ว แม่ของมอสเล่าย้อนถึงช่วงเวลาที่เธอไม่กล้าที่จะปล่อยให้ลูกชาวดาวน์ซินโดรมของเธอไปไหนมาไหนด้วยตัวเอง

“ให้มาเรียนศิลปะที่นี่ช่วยลดความระแวงของแม่ มากกว่าการให้ไปทำที่อื่น มันเป็นสังคมเดียวกัน มีคนแบบเดียวกัน ถ้าไปอยู่ข้างนอกเราต้องคอยระวังคนที่เข้ามา แล้วลูกเราจะไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมเขา

“อยู่แต่กับแม่มันเสียโอกาส เสียพัฒนาการของลูก มันเหมือนเป็นการทำร้ายเขาทางอ้อม เพราะถ้าไม่ให้เขาได้เจอคนอื่น เขาก็จะไม่มีวันรู้เลยว่าการอยู่กับคนอื่นเป็นยังไง

“ทุกครั้งที่ได้เห็นลูกทำอะไรได้ด้วยตัวเอง แม่ภูมิใจมากจริง ๆ เหมือนความกลัวที่เคยมี ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นความกล้า กล้าที่จะปล่อยให้เขาทำอะไรด้วยตัวเอง และมั่นใจว่าเขาทำได้

มอสอายุ 21 ปีแล้ว เรียนอยู่ กศน. แถมยังได้ทำงานด้วย ได้เงินเดือนหมื่นกว่าบาท ที่สำคัญคือเขาเดินทางจากบ้านที่ปทุมธานีไปทำงานที่สมาคมฯ แถวรามอินทราเองได้ด้วยรถไฟฟ้า จากที่เมื่อก่อนจะไปไหนที แม่ต้องไปส่งตลอด” 

JUST LET ME BE

สามครอบครัว สามเรื่องราว อาจต่างกันในรายละเอียด แต่สิ่งที่เหมือนกันคือความเชื่อมั่นว่าลูก ๆ สมควรได้ใช้ชีวิตในแบบที่พวกเขาเป็น ศิลปะจึงไม่ใช่เพียงเครื่องมือบำบัดหรือฝึกทักษะ แต่เป็นภาษาที่เด็ก ๆ ใช้สื่อสารความคิด ความฝัน และความรัก

และนี่คือสิ่งที่ 21/3 Art Studio อยากบอกกับสังคมผ่านนิทรรศการ ถ้าไม่เข้าใจ ไม่เป็นไรเลยแค่ปล่อยให้เราได้เป็นตัวเอง เพราะบางครั้ง ความงดงามของมนุษย์ ไม่ได้อยู่ที่การเข้าใจ แต่อยู่ที่การยอมให้กันและกันได้ “อยู่” อย่างแท้จริง

ชมความงามของการได้เป็นตัวเองผ่านผลงานภาพวาดสีอะคริลิกบนผืนผ้าใบรวมกว่า 200 ชิ้น ได้ที่นิทรรศการ JUST LET ME BE  โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ณ โถงชั้น G MOCA Bangkok เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร ระหว่างวันที่ 14-31สิงหาคม 2568

JUST LET ME BE JUST LET ME BE

Credits

Author

  • มนุษย์ต่างวัย

    Authorพื้นที่ถ่ายทอดเรื่องราวของสังคมสูงวัยในมุมที่สนุก สร้างสรรค์ และเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนทุกวัย

ถึงจะต่างวัยแต่ก็
อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ