‘พี่แดง’ – กัลป์ชัย อารีสินพิทักษ์ สร้างมัดกล้ามด้วยวินัย สร้างหัวใจด้วยธรรมะ

ในวัย 68 ปี ใครหลายคนอาจมีเพื่อนในชีวิตเป็นมิตรที่ไม่ได้ต้องการอย่างเบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ มะเร็ง หรืออื่นๆ อีกสารพัด แต่ กัลป์ชัย อารีสินพิทักษ์ หรือที่คนรู้จักเรียกกันว่า ‘พี่แดง’ นอกจากจะไม่มีโรคที่ว่าอยู่ในตัวเขาแล้ว ร่างกายยังเต็มไปด้วยกล้ามเป็นมัดๆ ชนิดที่หนุ่มๆ เห็นแล้วต้องอาย และเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ชายคนเดียวกันนี้คือเจ้าของร่างที่นอนเป็นผักอยู่บนเตียง ไม่แม้แต่จะเคลื่อนไหวหรือพูดจาสื่อสารออกมาได้

ความน่าหดหู่สิ้นหวังในชีวิตไม่ได้มีเพียงปัญหาสุขภาพ แต่พี่แดงยังมีหนี้สินอีกเกือบ 100 ล้าน ซึ่งเขาเองยังไม่รู้ว่าจะหาทางปลดชำระมันได้อย่างไร

“มันไม่รู้จะหาทางออกยังไงเลย เครียด สุขภาพก็ไม่ดี หนี้สินก็เป็นร้อยล้าน เราเข้าใจคนที่เขาฆ่าตัวตายเลยนะ เพราะก่อนนั้นเราเองก็เคยเกือบจะทำแบบนั้นเหมือนกัน” พี่แดงเล่าถึงมรสุมชีวิตพร้อมกับวิดพื้นด้วยมือเพียงข้างเดียวไปด้วย เราคุยกันสบายๆ กับเรื่องราวไม่ธรรมดาและท่าวิดพื้นไม่ง่าย ชีวิตของผู้ชายคนหนึ่งที่ใช้เวลา 20 กว่าปี เปลี่ยนความเครียด หนี้สิน โรคร้าย และการฆ่าตัวตาย ให้กลายเป็นมัดกล้ามและความสุข

ฤดูมรสุมของชีวิต

หลังวิกฤตเศรษฐกิจในช่วงปี 2540 เจ้าของกิจการอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจหลายรายฆ่าตัวตายกันเป็นใบไม้ร่วง และ กัลป์ชัย อารีสินพิทักษ์ ก็เคยคิดจะทำแบบนั้น

เขาเดินเข้าไปหาภรรยาซึ่งเพิ่งให้กำเนิดลูกคนที่ 3 ได้ไม่นาน ก่อนอธิบายถึงสถานการณ์ความเป็นจริงที่เกิดขึ้นพร้อมกับยิงคำถามสั้นๆ แต่สำคัญต่อชีวิตและลมหายใจของทุกคนในครอบครัว

“เราถามภรรยาไปว่าจะเลือกอยู่หรือไป ? ”

ภรรยาของเขาเลือกที่จะอยู่และพร้อมที่จะจับมือสู้ความจริงไปด้วยกัน รับมือกับหนี้สินที่ทำให้ชีวิตครอบครัวที่เคยมั่งมีกลายเป็นคนสิ้นเนื้อประดาตัวได้ภายในพริบตาเดียว

“เราทำธุรกิจซื้อขายที่ดินและมีโครงการบ้านจัดสรร ก็กู้แบงก์มาลงทุน พอเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ แบงก์และไฟแนนซ์ล้มไป 50 กว่าแห่ง มันก็ส่งผลกระทบถึงเรา”

เมื่อชีวิตไม่รู้จะหาเงินจากไหนมาเพื่อใช้หนี้ ความเครียด ความกดดันรอบด้านก็รุมโบยตีพี่แดงอย่างหนักหน่วง มองไปทางไหนก็มีแต่ปัญหามากมายเต็มไปหมด หนี้ที่ต้องใช้ ครอบครัวที่ต้องดูแล “เราเครียดไวรัสลงตับจนระบบการทำงานของร่างกายดับและน็อกไปเลย อยู่ดีๆ ก็เดินไม่ได้ ลุกไม่ได้ ยกแขนยกขาไม่ได้ พูดก็ไม่ได้ เหมือนเราถูกขังเอาไว้ในร่างกายของตัวเอง”

ในช่วงเวลานั้นพี่แดงบอกว่ามีเพียง 3 สิ่งเท่านั้นที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง คือลืมตา นอน แล้วก็หายใจ ชายซึ่งขณะนั้นยังอยู่ในวัยกลางคนคิดในใจว่าหากเขาต้องนอนติดเตียงเช่นนี้ตลอดชีวิต ลูกเมียจะยิ่งลำบาก และหากมีโอกาสได้กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เขาจะดูแลร่างกายนี้ให้ดีที่สุด จากนั้นไม่นานความเครียดของพี่แดงเริ่มลดลง ร่างกายก็เริ่มฟื้นตัว

หลังจากได้ร่างกายกลับคืนมา เขาก็ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเอง ฉันจะดูแลร่างกายของฉันให้ดีและทำมันให้แข็งแรง


ทุกอย่างเริ่มต้นที่ร่างกาย

ตามความคิดของพี่แดง การจะปลดเปลื้องหนี้สินและทำให้ชีวิตก้าวไปข้างหน้าได้ จุดเริ่มต้นแรกเลยคือต้องมีร่างกายที่แข็งแรงไม่เจ็บป่วยเต็มไปด้วยโรคภัย

“สำหรับเรา สุขภาพคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง คุณตั้งเป้าหมายจะทำอะไรก็แล้วแต่ ถ้าล้มหมอนนอนเสื่อคุณจะไปทำอะไรได้ หรือถ้าทำได้คุณก็ทำได้ไม่ดี ไม่เต็มประสิทธิภาพ อย่างเราต้องการหาเงินมาปลดหนี้แต่ร่างกายไม่แข็งแรง มีแต่โรครุมเร้า ถามว่าแล้วจะเอาแรงจากไหนออกมาทำงานหาเงิน หรือถ้าทำงานได้เงินมาแทนที่จะได้เอาไปใช้ ไปจ่ายหนี้ สุดท้ายก็ต้องเอามาจ่ายค่าหมอ ค่ารักษาพยาบาลหมด เราเลิกกิน เลิกเที่ยว เลิกดื่ม แล้วหันมาออกกำลังกายอย่างจริงจัง”

พี่แดงเริ่มต้นจากการพาร่างกายที่ผอมแห้งแรงน้อยออกไปเดินเร็วและจ็อกกิง แรกๆ ก็ได้ระยะทางแค่เพียงวันละ 1-2 กิโลเมตร ต่อมาเมื่อทำต่อเนื่องทุกวัน ระยะก็เพิ่มขึ้น 3-4 และ 5-6 กิโลเมตรตามลำดับ ผ่านไป 3 เดือน พี่แดงเริ่มสังเกตว่าระบบหายใจและสุขภาพของตัวเองเริ่มเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น จึงออกกำลังกายเรื่อยมา จาก 3 เดือน กลายเป็น 1 ปี 5 ปี   20 ปี ในวันนี้ที่ยังคงเดินวิ่งอยู่เช่นเดิม เพิ่มเติมคือการยกเวทเล่นกล้ามอย่างจริงจังอีกด้วย

“พอเริ่มวิ่งได้สักพัก รู้สึกร่างกายดีขึ้นก็ไปสมัครฟิตเนส แล้วก็ไปเล่นสัปดาห์ละ 4-5 วัน แรกๆ ก็เล่นแบบงูๆ ปลาๆ ดูคนอื่นแล้วมาลองเล่นดู จนกระทั่งต่อมามีเทรนเนอร์มาสอน เราก็ทำได้ถูกต้องมากขึ้น เขาเริ่มให้โฟกัสทีละจุด รูปร่างเราก็เริ่มเปลี่ยน แต่ยังไม่ชัด ไม่ได้มีกล้ามเป็นมัดๆ เหมือนอย่างทุกวันนี้”

พี่แดงเริ่มมาออกกำลังกายด้วยการเล่นเวทอย่างจริงจังเมื่อตอนอายุ 60 หรือเมื่อ 8 ปีที่แล้ว ซึ่งถือว่าช้าเอามากๆ เมื่อเทียบกับคนเล่นเวททั่วไปที่ส่วนมากจะมีแต่หนุ่มๆ อย่างไรก็ตามชายสูงวัยอย่างเขาเชื่อว่าความแข็งแรงไม่ได้ขึ้นอยู่กับอายุ หากแต่อยู่ที่ความสม่ำเสมอและมีวินัย ทุกคนสามารถมีกล้ามได้ถ้ามีวินัยมากพอ

Six-pack ที่ซ่อนอยู่ในตัวทุกคน

แม้ว่ามนุษย์ทุกคนจะสามารถมีกล้ามได้ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้สูงวัย เนื่องจากมนุษย์เราเมื่ออายุ 40 ปีขึ้นไปนั้น มวลกล้ามเนื้อจะเริ่มฝ่อและลดลงประมาณปีละ 1-2 เปอร์เซ็นต์ และเมื่ออายุ 50-60 ปีขึ้นไป ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อก็จะลดลงปีละ 1.5 เปอร์เซ็นต์ และจะลดลงอย่างรวดเร็วตามอายุที่เพิ่มขึ้น ด้วยเหตุนี้การที่คนในวัย 68 อย่างพี่แดงสามารถที่จะปั๊มกล้ามจนราวกับเป็นนักเพาะกายทีมชาติได้นั้น จึงนับเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย

“เราต้องอธิบายก่อนว่าคนทุกคนมีกล้ามเนื้อเป็นของตัวเองทุกคนอยู่แล้ว อย่าง ซิกซ์แพ็ก เนี่ย เราก็มีกันอยู่ทุกคนเพียงแต่ไขมันบังอยู่ การเล่นเวทก็เพื่อทำให้เรามีมวลกล้ามเนื้อมากขึ้น กล้ามเนื้อก็เหมือนกับเตาเผาผลาญไขมันในร่างกาย การมีกล้ามเนื้อมากขึ้นก็เหมือนเรามีเตาเผาไขมันใหญ่ขึ้น เผาผลาญไขมันได้มากขึ้น เมื่อเผาผลาญไขมันไปได้ กล้ามเนื้อก็จะชัดขึ้นมา แต่ทุกอย่างต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ ไม่ใช่ว่าเล่น 1-2 วันแล้วจะได้กล้ามเลย กล้ามที่เราได้มานี่มันไม่ได้มาจากความบังเอิญ มันมาจากวินัยล้วนๆ”

วินัยที่พี่แดงหมายถึงไม่ใช่เฉพาะวินัยในการออกกำลังกายอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงระเบียบวินัยในการกินและการนอนด้วย พูดง่ายๆ คือเล่นเวทให้ถึง กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อความต้องการของร่างกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ

“เราจะออกกำลังกายด้วยการคาร์ดิโอโดยการวิ่งก่อนประมาณ 40-50 นาที แล้วก็เล่นเวทอีกประมาณ 2-3 ชั่วโมงทุกวัน ก็จะมีเล่นทั้งหน้าแขน หลังแขน ขา แกนกลางลำตัว อก หลัง ทุกๆ ส่วนสลับกันไป ขณะเดียวกันก็เน้นกินอาหารที่มีโปรตีนเพื่อไปซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและให้เกิดการสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาใหม่ เนื่องจากทุกครั้งที่เราเล่นเวท เส้นใยเล็กๆ ในกล้ามเนื้อจะเกิดการฉีกขาด ซึ่งการพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อวัน ก็จะทำให้เกิดการฟื้นฟูของกล้ามเนื้อ ให้กล้ามเนื้อได้พัก”

ด้วยวินัยในการดูแลรักษาสุขภาพและการออกกำลังกาย ทำให้หลังจากเล่นเวทอย่างจริงจังได้ 4 ปี กล้ามเนื้อของพี่แดงก็ขึ้นรูปชัดเจนสวยงาม ไม่ต่างจากนักกีฬาเพาะกาย เมื่อถอดเสื้อออกมาก็จะเห็นกล้ามอกที่เต่งตึง กล้ามขาแขนเป็นมัด กล้ามท้องซิกซ์แพ็ก “ตอนเราอายุประมาณ 64 เทรนเนอร์เขาก็มาแนะนำให้ไปแข่งขันเพาะกาย เขาบอกว่าพี่แดงอย่าอยู่แต่ในนี้เลย ออกไปแข่งดีกว่า จะได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆ ให้ผู้สูงวัยด้วยกัน กล้ามเนื้อเป็นทรงแบบนี้เด็กหนุ่มก็ใช่ว่าจะเอาชนะพี่ได้ง่ายๆ”

พี่แดงลงแข่งขันเพาะกายในรายการระดับประเทศที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยากับคู่แข่งรุ่นลูกรุ่นหลาน แม้สุดท้ายจะไม่ได้รางวัลติดไม้ติดมือ แต่การเข้ารอบเป็น 1 ใน 10 คนสุดท้ายก็นับได้ว่าเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่

ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ที่ว่าไม่ใช่แค่การได้รับคำชื่นชมจากทุกๆ คนที่เข้าแข่งขันในวันนั้น แต่มันคือการที่ผู้ชายคนหนึ่งที่เคยล้มจนลุกขึ้นไม่ไหวและเต็มไปด้วยวิกฤตมากมายในชีวิต ลุกขึ้นสู้ ฝึกฝนเคี่ยวกรำตัวเองจนได้

สร้างกล้ามใจด้วยธรรมะ

แม้จะเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงชีวิตด้วยการหันมาดูแลร่างกาย แต่พี่แดงก็ให้ความสำคัญกับการดูแลจิตใจควบคู่กันไปด้วย ซึ่งเขาก็เลือกแก้ไขปัญหาภายในของตัวเองด้วยการหันหน้าเข้าสู่ธรรมะ “ก่อนที่ชีวิตจะเจอวิกฤต เราไม่เคยเชื่อเรื่องบาปบุญคุณโทษ ไม่เคยเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ไม่เคยสนใจว่าศาสนาพุทธคืออะไร เราเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูง เชื่อว่าสิ่งที่เราทำนั้นดี ถูกต้อง แล้วก็ไม่มีวันพังหรือล้มลงมาหรอก พอถึงวันที่ทุกอย่างพังทลายจริงๆ จิตใจมันก็ดำดิ่ง ไม่รู้จะไปทางไหน สุดท้ายก็ลองหันเข้าหาธรรมะ เริ่มจากการสวดมนต์ซึ่งตอนที่ชีวิตยังมั่งมีอยู่เราไม่เคยคิดจะสวดเลย

“ช่วงแรกที่สวดมนต์ต้องบอกว่าเป็นการสวดทั้งน้ำตา มันทุกข์ อึดอัด รู้สึกว่าชีวิตไม่มีทางออก แต่เราก็อดทนเปิดหนังสือสวดไปเรื่อยๆ แล้วหลังจากนั้นก็ไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี เป็นเวลา 8 วัน 7 คืน ระหว่างที่เดินจงกรม อยู่ๆ เราก็รู้สึกเจ็บเหมือนมีคนมาหักแขนหักขา เจ็บจนน้ำตาไหล ทำให้เรานึกไปถึงตอนเด็กๆ ที่ทางบ้านเราเขาเชือดเป็ดเชือดไก่ตอนตรุษจีน โดยเราเป็นคนคอยหักปีกหักขาพวกมันเพื่อไม่ให้หนี จะได้เชือดได้ง่ายๆ เราทำกับเป็ด-ไก่แบบนั้นเป็นพันตัว ความรู้สึกเจ็บของพวกมันก็เหมือนกับเราตอนนี้ จากนั้นเมื่อกลับมาเราก็เริ่มศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรม แล้วก็สวดมนต์เช้า-เย็นทุกวัน”

จากที่เคยสวดมนต์ทั้งน้ำตา พี่แดงก็เริ่มสวดมนต์ด้วยจิตใจที่สงบ เริ่มทยอยใช้หนี้ และจัดการแก้ไขปัญหา

“เราขายที่ดินที่หัวหินและที่พัทยาที่มีอยู่ในราคาที่ถูกกว่าความเป็นจริงมากๆ แต่เราก็จำเป็นต้องขาย ถ้าเป็นก่อนหน้านั้นก็คงเสียดาย แต่พอมาศึกษาธรรมะเราก็ปล่อยวางได้มากขึ้น คิดเสียว่าอะไรที่มันไม่ใช่ของเรามันก็ไม่ใช่ของเรา จากนั้นเราก็ไปเจรจาขอประนอมหนี้กับทางธนาคาร อธิบายถึงแนวทางการชำระหนี้ของเรา แล้วขอให้เขาช่วยลดดอกเบี้ยให้ ธนาคารเขาก็ตกลง ซึ่งในเวลาต่อมาโครงการของเราก็เริ่มขายได้ มีลูกค้าชาวต่างชาติมาซื้อ ทำให้เรามีเงินไปทยอยใช้หนี้ แล้วก็ค่อยๆ ปลดจนเหลือน้อยลงเรื่อยๆ กระทั่งหมดหนี้หมดสินในที่สุด”

ปัจจุบันชีวิตของพี่แดงไม่มีหนี้หลงเหลืออยู่อีกแล้ว โดยเขาได้ทำการชำระหนี้งวดสุดท้ายไปเมื่อราว 10 ปีก่อน นอกจากการใช้ธรรมะนำทางไปสู่การแก้ปัญหาจนสามารถปลดหนี้ได้สำเร็จแล้ว พี่แดงยังเป็นจิตอาสาโดยการเข้าไปเป็นครูสอนสมาธิให้กับเณรและผู้ต้องขังในเรือนจำเป็นระยะเวลา 4-5 ปีด้วย

“เราศึกษาธรรมะจนเรียนจบนักธรรมเอกและจบหลักสูตรการเป็นครูสมาธิ ซึ่งวิชาความรู้ตรงนี้ถ้าเราเก็บไว้กับตัวเองมันก็มีประโยชน์แค่กับเราคนเดียว แต่หากเราไปถ่ายทอดให้กับคนอื่น มันก็จะเกิดคุณค่าและประโยชน์ในวงกว้าง เราก็เลยเข้าไปเป็นจิตอาสาด้วยการเป็นครูสอนในเรื่องสมาธิให้กับเณรที่วัดธรรมมงคลและบรรดาผู้ต้องขังในเรือนจำต่างๆ คอยแนะนำและบอกพวกเขาว่าสมาธิคืออะไร ทำอย่างไร ซึ่งจากที่ผ่านมาก็ถือว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จ ผู้ต้องขังหลายคนเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น”

ถึงวันนี้พี่แดงบอกว่าชีวิตของเขานั้นเป็นหนี้บุญคุณของพระพุทธศาสนา

“ถ้าไม่มีธรรมะ เรานึกไม่ออกเลยว่าชีวิตจะเป็นยังไง เราอาจจะยังใช้หนี้ไม่หมด อาจจะยังจมอยู่กับปัญหาเดิมๆ อาจจะยังกิน ยังเที่ยว ยังดื่ม ฯลฯ เอาจริงๆ เราก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะเป็นยังไง แต่มีข้อหนึ่งที่เราสามารถยืนยันได้แน่ๆ เราไม่มีทางที่จะมีชีวิตที่มีความสุขเหมือนอย่างทุกวันนี้”

จิตใจ มัดกล้าม และความสุข

ปัจจุบันในวัยใกล้เลขเจ็ด พี่แดงมีธุรกิจทำสวนขวด ซึ่งก็คือการนำต้นไม้มาปลูกอย่างสวยงามในโหลและขวดแก้ว เป็นธุรกิจภายในครอบครัว จากคนที่ครั้งหนึ่งเคยคิดฆ่าตัวตาย มาวันนี้เมื่อมองย้อนกลับไป ชายวัย 68 รู้สึกว่าตัวเองช่างโชคดีที่สุดท้ายเลือกจะมีชีวิตอยู่ เพราะไม่อย่างนั้นก็คงไม่มีทางที่จะพบความสุขเหมือนกับในวันนี้

พี่แดงบอกว่านี่คือช่วงเวลาที่ตัวเองรู้สึกว่ามีความสุขที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมา ได้ใช้เวลาอยู่กับการออกกำลังกาย มีธรรมะเป็นหลักพิง และได้ช่วยเหลือสังคมบ้างตามสมควร

“ทุกวันนี้ถ้าถามว่าชีวิตเป็นอย่างไร ก็ต้องบอกว่ามีความสุขมาก สุขที่สุดตั้งแต่เกิดมาเลยก็ว่าได้ มีความสุขมากกว่าตอนที่ชีวิตมั่งมีเสียอีก ช่วงที่เรามีเงินมีทอง มีบ้าน รถ ที่ดิน ทรัพย์สินทุกอย่าง แต่สุขภาพเราไม่ได้แข็งแรงเท่านี้ จิตใจก็ยังเต็มไปด้วยกิเลส อยากได้อยากมี ไม่ได้สงบเหมือนกับตอนนี้ ขณะเดียวกันก็ไม่ได้ช่วยเหลือใครเลย ไม่เคยคิดเรื่องเป็นจิตอาสา ทำบุญก็เน้นไปที่การสร้างวัตถุให้เงินถวายปัจจัยแล้วก็จบ ไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้งมากกว่านั้น

“สำหรับความทุกข์มันก็มีบ้าง แต่ทุกครั้งที่มันเกิดขึ้น เราจะเท่าทันและดับมันได้เร็ว ด้วยความที่เราฝึกสมาธิอยู่เป็นประจำ สติก็จะคอยควบคุมไม่ให้ความทุกข์มันเติบโตมากกว่าที่เป็นอยู่ เช่น มีคนขับรถปาดหน้าเรา ความรู้สึกแรกเราจะเกิดความโมโห แต่เมื่อสติรับรู้เร็วก็จะคิดขึ้นมาว่าเขาอาจจะรีบหรือมีธุระจริงๆ เลยจำเป็นต้องทำแบบนั้น สรุปคือเรายังเป็นคนธรรมดาที่มีรัก โลภ โกรธ หลง ความทุกข์มันก็ยังเกิดขึ้นได้ แต่เรามีเครื่องมือที่จะควบคุมและดับมันได้เร็ว ความทุกข์ที่มีก็เลยจะอยู่กับเราไม่นาน”

ชีวิตของพี่แดงในทุกวันนี้มีกิจวัตรที่ค่อนข้างชัดเจนแน่นอน โดยจะตื่นนอนประมาณ 7 โมงเช้า ตื่นมาก็สวดมนต์ นั่งสมาธิ แล้วก็กินข้าวเช้า หากไม่มีกิจกรรมการทำงานจิตอาสา ช่วงบ่ายก็จะไปช่วยลูกชายทำสวนขวด พอตกเย็น 5-6 โมง ก็ไปออกกำลังกายเล่นเวทประมาณ 3-4 ชั่วโมง จากนั้นกลับบ้านมาอาบน้ำ กินข้าว เสร็จแล้วก็ทำสมาธิ เดินจงกรม แล้วก็เข้านอน

“ชีวิตเราเป็นเหมือนเดิมแทบจะทุกวัน สิ่งที่เราทำสม่ำเสมอก็คือเราไม่เคยหยุดที่จะออกกำลังกายเลยนะ เพราะเมื่อใดที่เราหยุด มันก็มีสิทธิ์ที่กล้ามเนื้อจะหย่อนยานไม่แข็งแรงเหมือนเดิม เช่นเดียวกับจิตใจ เราก็ยังหมั่นทำสมาธิอยู่เป็นประจำ พยายามทำให้จิตใจสงบที่สุดเท่าที่จะทำได้ นี่คือสองสิ่งที่เราให้ความสำคัญมากๆ เป็นสองสิ่งที่อยู่คู่และเกื้อหนุนกัน และเราจะขาดการเอาใจใส่อย่างใดอย่างหนึ่งไปไม่ได้

“เพราะถ้ากายสุข ใจสุข ก็เป็นเรื่องยากที่จะมีความทุกข์ในชีวิต”

Credits

Author

  • มนุษย์ต่างวัย

    Authorพื้นที่ถ่ายทอดเรื่องราวของสังคมสูงวัยในมุมที่สนุก สร้างสรรค์ และเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนทุกวัย

ถึงจะต่างวัยแต่ก็
อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ