เที่ยวกับป้าเกษ เจ้าของเพจ “สูงวัยลุยไปทั่ว”

ก่อนจะมาเป็นบล็อกเกอร์สายท่องเที่ยว และเจ้าของเพจสูงวัยลุยไปทั่ว เพจท่องเที่ยวที่มีผู้ติดตามกว่า 15,000 คน ชีวิตของ ป้าเกษ – กนกพร สุภิมาส ไม่เคยได้ออกไปไหนง่ายๆ

กว่าจะได้ออกไปเห็นโลกกว้างอย่างที่ใจต้องการ อายุก็ปาเข้าไปกลางเลข 4 แล้ว อย่างไรก็ตาม การได้เดินทางท่องเที่ยว แม้ในตอนอายุมากแล้วก็นับเป็นการช่วยเติมเต็มชีวิตของป้าเกษให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เมื่อชีวิตของเธอได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น ได้ไปในที่ที่ไม่เคยไป ได้สัมผัสในสิ่งที่ไม่เคยสัมผัส ป้าเกษจึงอยากให้คนอื่นได้ออกมาเดินทางท่องเที่ยวอย่างเธอบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่ในวัยใกล้เคียงกัน

นี่คือเรื่องราวชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งที่ไม่ยอมให้ความสูงวัยในชีวิตมาขัดขวางความฝันในการเดินทางออกไปเห็นโลกและประสบการณ์ชีวิตใหม่ๆ ขณะเดียวกันเธอก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะพาคนอื่น ๆ ไปเห็นและสัมผัสมันด้วยตัวเอง


ทัศนศึกษาที่ไม่ได้ไป

“เราคิดว่าถ้ามีโอกาสวันหนึ่ง เราจะใช้ชีวิตและเดินทางออกไปเที่ยวตามหัวใจของเราเอง”

พื้นเพดั้งเดิมของป้าเกษ – กนกพร สุภิมาส เป็นคนอำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ แม่ของเธอประกอบธุรกิจเปิดร้านขายข้าวแกง ซึ่งก็ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า   ด้วยความที่เป็นลูกคนโต ป้าเกษจึงเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการช่วยเหลืองานของแม่ ด้วยเหตุนี้แม่จึงไม่ค่อยปล่อยเธอออกไปเที่ยวไหนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เสาร์ – อาทิตย์ ซึ่งถือเป็นช่วงที่ข้าวแกงขายดี ผิดกันกับน้องๆ อีกสามคนที่ได้รับอิสระเต็มที่ในการไปไหนมาไหน

“ช่วงวัยเด็กเราได้รับอิสระน้อยมากถ้าเทียบกับน้องๆ อย่างเวลาที่โรงเรียนเขามีกิจกรรมอะไร แล้วมีใบขออนุญาตมาให้ผู้ปกครองเซ็น ถ้าเป็นของเราแม่เขาจะไม่ค่อยอนุญาตให้ไปไหนหรอก แต่ถ้าเป็นน้องๆ นี่เต็มที่จะไปไหน ค้างกี่วันยังไงก็อนุญาตหมดทุกอย่าง แต่ถ้ากับเรานี่ยากมาก จำได้ว่าไปเข้าค่ายยุวกาชาดที่โรงเรียนนี่ต้องอ้อนแล้วอ้อนอีกกว่าจะได้ไป”

เหตุการณ์ที่ป้าเกษจำได้มาจนถึงทุกวันนี้ก็คือในตอน ม.ศ.1(ม .1 ในปัจจุบัน) ทางโรงเรียนมีการจัดกิจกรรมเดินทางไปทัศนศึกษาที่จังหวัดสุโขทัย เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน เพื่อนๆ ในห้องเรียนได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองให้ไปเที่ยวกันหมด ยกเว้นเด็กหญิงกนกพรคนเดียวที่แม่ไม่ยอมเซ็นใบอนุญาตให้ ในมุมของป้าเกษเวลานั้นการได้ไปทัศนศึกษานอกจากจะได้เป็นการพาชีวิตออกไปสัมผัสโลกกว้างแล้ว ยังอาจทำให้เธอได้มีช่วงเวลาที่น่าจดจำร่วมกันกับเพื่อนๆ อีกด้วย

“เราคิดในใจว่ามันต้องสนุกมากแน่ๆ เลย ที่ได้ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ คงจะเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำในวัยเด็ก และเราคงมีความสุขมากๆ แต่ปรากฏว่าแม่ไม่ยอมให้ไป เป็นคนเดียวในห้องที่ผู้ปกครองไม่อนุญาต”

เด็กหญิงวัย 12 ปี หัวใจแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ เพื่อนผู้หญิงทั้งห้องรวมตัวกันไปรบเร้าแม่ของเธอที่บ้านให้เปลี่ยนใจ แต่ผู้เป็นแม่ยังหนักแน่นและยืนยันคำตอบเดิม

“เพื่อน ๆ มาขอร้องถึงบ้านแต่แม่ก็ไม่ให้ไป แม่บอกถ้าให้ไปแล้วใครจะช่วยทำงาน แม่ใจแข็งมาก จนสุดท้ายเพื่อนๆ ต้องยอมแพ้ พอเพื่อนกลับไปเราก็ร้องไห้ เสียใจที่ไม่ได้ไปเที่ยว แม่ยังบอกเลยว่าไม่ต้องมาร้อง ร้องไห้แล้วคิดว่าจะได้ไปเหรอ”

หญิงวัย 63 กะรัตหัวเราะร่วนเมื่อนึกไปถึงเรื่องราวเมื่อร่วม 50 ปีก่อน แน่นอนว่าเมื่อมองย้อนกลับไปด้วยสายตาของคนที่ผ่านโลกมาเกินกว่าครึ่งชีวิต คำปฏิเสธของแม่ย่อมกลายเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับเธอในวันนี้ ทว่าสำหรับเด็กวัย 12 ปี มันเป็นเหมือนรอยโหว่และช่องว่างในหัวใจที่ดูแล้วคงยากที่จะได้รับการเติมเต็ม

“เราคิดว่าถ้ามีโอกาสวันหนึ่ง เราจะใช้ชีวิตและเดินทางออกไปเที่ยวตามหัวใจของเราเอง”

ใครจะไปรู้ว่ากว่าจะได้รับโอกาสเริ่มทำตามใจปรารถนา เด็กน้อยคนนั้น ต้องรอคอยไปอีก 32 ปี

ออกเที่ยวด้วยตัวเอง

“เราไม่ได้เน้นไปในที่หรูหรา หรือมีความสบายมากเหมือนเมื่อก่อน แต่เราเดินทางไปสัมผัสวิถีชีวิตของผู้คน วัฒนธรรม และมิตรภาพระหว่างทาง เมื่อเราเริ่มไปเที่ยวบ่อยครั้งมากขึ้น เราก็เริ่มมีความรู้สึกว่าอยากให้คนอื่นๆ ได้มาเห็นและสัมผัสเหมือนกับเรา”

หลังจากเรียนจบในระดับอนุปริญญา ป้าเกษก็ทำงานเป็นช่างเสริมสวยอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ ก่อนตัดสินใจลงมาใช้ชีวิตอยู่ในกรุงเทพฯ เมื่อตอนอายุได้ 32 ปี เมื่อน้องชายซื้อบ้านที่เมืองหลวงและต้องการให้เธอลงมาช่วยดูแลแม่ ด้วยความจำเป็นของชีวิตในหลายๆ ด้านทำให้ป้าเกษไม่สามารถเดินทางออกไปท่องโลกอย่างที่ใจต้องการได้จนกระทั่งอายุปาเข้าไป 44 ปี ทุกอย่างจึงเริ่มลงตัว

“แรกๆ เรามาเป็นลูกจ้างในร้านเสริมสวยก่อน ต่อมาเราถึงออกมาเปิดร้านของเราเอง ซึ่งร้านของเราจะหยุดทุกวันพุธ เราก็จะพอมีเวลาว่างในวันนั้น ก็จะไปเดินห้างเสียเป็นส่วนใหญ่ไม่ได้ออกไปไหน ต่อมาเราได้ยินลูกค้าที่มาทำผมเขาพูดกันเรื่องเดินทางท่องเที่ยว แล้วเราก็ได้ยินคำว่า ‘เวิลด์ไวด์เว็บ’ ซึ่งเราก็พอจะรับรู้ว่าจะเข้าไอ้เวิลด์ไวด์เว็บได้นี่มันจะต้องมีคอมพิวเตอร์ ต้องเข้าอินเตอร์เน็ต จากนั้นก็จะเข้าไปดูสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ได้

“ตอนนั้นคือช่วงปี 2544 เราอายุ 44 ปีแล้ว ต้องสารภาพว่าเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์เลย รู้แค่ว่าเราพอมีเงินอยู่ก้อนหนึ่ง แล้วก็อยากเดินทางไปเที่ยวมาก เราอยากไปเที่ยวทะเล เพราะบ้านเรามีแต่ภูเขา ทะเลไม่มี สุดท้ายเราเลยไปห้างที่ใกล้บ้านแล้วก็ไปซื้อคอมพิวเตอร์ มาไว้ที่บ้านเครื่องหนึ่ง”

ป้าเกษจ่ายเงิน 19,999 บาท เพื่อแลกกับการได้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ต มาอยู่ในบ้าน ก่อนจะนำมาศึกษาเรียนรู้ ลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง และเข้าไปตามแหล่งท่องเที่ยวที่ต่างๆ ที่ตนสนใจ

“จำได้ว่าตอนได้คอมพิวเตอร์มาใหม่ๆ นั่งจ้องเครื่องอยู่ 3 วันเต็ม สุดท้ายต้องเรียกคนข้างบ้านมาช่วยสอน ช่วงแรกเวลาขึ้นอะไรมาเรากด yes หมด จนไวรัสเข้า ช่างต้องมา format เครื่องให้ใหม่บ่อยมาก

“หลังจากเริ่มเป็น เราก็เข้าไปตามเว็บไซต์ท่องเที่ยว เวลามีงานท่องเที่ยวจัดที่ไหนเราก็ไปเดิน สุดท้ายเราเลยตัดสินใจซื้อแพ็คเกจไปเที่ยวคนเดียว จำได้ว่าเป็นที่กระบี่ 3 วัน 2 คืน เป็นการได้เห็นทะเลครั้งแรกในรอบเกือบ 30 ปี ครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นคือการไปเที่ยวบางแสนกับครอบครัว”

หลังจากประตูแห่งโอกาสได้รับการเปิดออก ป้าเกษก็เริ่มออกเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเองบ่อยครั้งมากขึ้น อย่างไรก็ตามแทบทุกทริปที่ไปล้วนแต่เป็นการเดินทางเพียงคนเดียว ซึ่งทำให้เธอไม่สนุกเท่าที่ควร

“การเดินทางแบบซื้อแพ็คเกจไปเที่ยวแบบนี้ มันไม่ค่อยมีเพื่อน เพราะเราไม่ได้ไปวันหยุดสุดสัปดาห์เหมือนกับคนอื่นๆ ต่อมาเราก็เลยเข้าเว็บ Pantip แล้วไปเจอเพื่อนกลุ่มใหม่ๆ คราวนี้เราไม่ซื้อทัวร์แล้ว แต่ไปกับเพื่อนเป็นกลุ่ม ซึ่งทุกครั้งที่ได้ออกเดินทางเรารู้สึกมีความสุขมากๆ

ป้าเกษออกเดินทางท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆ ในประเทศไทยกับเพื่อนๆ ทุกสัปดาห์จากคนที่วัยเด็กแทบไม่เคยได้ออกไปไหน เธอได้ออกไปเห็นโลกที่ไม่คอยเห็น ได้สัมผัสสิ่งที่ไม่เคยสัมผัส หลายที่ที่เดินทางไปล้วนแต่เป็นที่ที่ไม่ได้มีใครเคยไปมากนัก

“เราไม่ได้เน้นไปในที่หรูหรา หรือมีความสบายมากเหมือนเมื่อก่อน แต่เราเดินทางไปสัมผัสวิถีชีวิตของผู้คน วัฒนธรรม และมิตรภาพระหว่างทาง เมื่อเราเริ่มไปเที่ยวบ่อยครั้งมากขึ้น เราก็เริ่มมีความรู้สึกว่าอยากให้คนอื่นๆ ได้มาเห็นและสัมผัสเหมือนกับเรา”

หลังกลับจากท่องเที่ยวป้าเกษจะโพสต์รูปและบอกเล่าเรื่องความประทับใจในแต่ละทริปที่เธอได้ไปสัมผัสมาลงใน Pantip ซึ่งมีคนติดตามเธออยู่เป็นจำนวนไม่น้อย กระทั่งในปี 2557 ที่โลกโซเชียลมีความก้าวหน้ามากขึ้นกว่าแต่ก่อน ป้าเกษจึงหันมาเปิดเพจเป็นของตัวเองตามคำแนะนำของบรรดาน้องๆ ที่รู้จักกันใน Pantip

ป้าเกษคิดชื่อเพจอยู่นาน รวมทั้งเคยทดลองใช้ชื่ออื่นมาก่อนหน้านี้ ก่อนจะมาลงตัวที่ชื่อปัจจุบัน

“สูงวัยลุยไปทั่ว”   คือชื่อเพจของเธอ


สูงวัยลุยไปทั่ว

“คุณต้องเปิดใจที่จะรับมิตรภาพใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิต เพราะเราจะพาคุณไปสัมผัสกับชาวบ้าน ไปพูดคุยกับคนที่คุณไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ซึ่งถ้าคุณไม่เปิดใจคุณก็จะไม่สนุกในการเที่ยวกับเรา”

ปัจจุบันเพจสูงวัยลุยไปทั่วของป้าเกษมีผู้ติดตามถึงกว่า 15,000 คน แม้อาจไม่ใช่ตัวเลขที่มากมายเมื่อเทียบกับเพจชื่อดัง หากแต่ก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธว่าเป็นตัวเลขที่น้อยนิดแต่อย่างใด

“มีน้องๆ ใน pantip เขาแนะนำให้เปิดเพจ เขาบอกว่ามีคนติดตามมากกว่า เราก็บอกว่าเราไม่เก่งเรื่องการทำเนื้อหา เขาก็บอกว่าเขียนๆ ไปเถอะ ทำอย่างที่เป็นตัวเรา เขียนอย่างที่เป็นตัวเรานั่นแหละ จากนั้นเราก็ทำมาเรื่อยๆ จนมาตอนหลังก็เริ่มมีคนรู้จัก เริ่มมีผู้สนับสนุนเข้ามา ขณะเดียวกันก็เริ่มมีคนชักชวนให้เราจัดทริปพาคนไปเที่ยว ซึ่งส่วนใหญ่เราจะเน้นไปที่กลุ่มคนที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป และรับต่อทริปแค่ไม่กี่คนเท่านั้น โดยอายุมากที่สุดที่เราเคยพาไปเที่ยวก็คือ 75 ปี แต่ว่าจะต้องมีลูกหลานคอยดูแลด้วย เป็นเหมือนลักษณะลูกพาแม่เที่ยวประมาณนี้”

ปัจจุบันป้าเกษไม่ได้มีอาชีพเป็นช่างเสริมสวยเหมือนอย่างแต่ก่อนแล้ว รวมทั้งแม่ของป้าเกษก็ย้ายกลับไปอยู่เชียงใหม่ หลังจากน้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ เมื่อปี 2554 นั่นจึงทำให้บล็อกเกอร์วัย 63 ปี มีเวลาที่จะเดินทางพาผู้คนออกไปท่องเที่ยวได้อย่างเต็มที่ในการจัดทริปแต่ละครั้งป้าเกษจะเป็นคนดูแลและจัดการทุกอย่าง ไล่ตั้งแต่เรื่องการจองรถ อาหารการกิน ที่พักอาศัย สถานที่ท่องเที่ยว รูปถ่าย   ห้องน้ำห้องท่า เรียกว่าทุกรายละเอียดตั้งแต่ออกเดินทางจนถึงวันกลับ

“อย่างที่บอกว่าแต่ละทริปของเราจะมีผู้สูงอายุด้วย เพราะฉะนั้น เราจะต้องดูอย่างละเอียดในทุกๆ อย่าง โดยก่อนจะพาไปเที่ยว เราจะต้องเดินทางลงไปสำรวจเองก่อน เราจะไม่ดูเอาจากที่คนอื่นเขารีวิว โดยที่ไม่ลงไปสัมผัสอะไรเลย เพราะบางทีที่เขารีวิวกันมาอาจเหมาะสำหรับคนหนุ่มสาว แต่ไม่เหมาะสำหรับคนสูงวัย

“เราอยากให้คนสูงวัยได้ออกมาเที่ยว ได้ออกมาเห็นโลกที่เขาอาจไม่เคยเห็น เพื่อที่จะได้ไม่เหงา มีความสุขสดชื่น กับชีวิต แต่เราก็จะบอกทุกคนที่มาเที่ยวกับเราก่อนนะว่าทริปของเราอาจไม่ใช่ทริปที่หรูหราสะดวกสบายนัก คุณอาจไม่ได้นอนห้องแอร์ในโรงแรมหรู ไม่ได้ทานอาหารภัตตาคาร ที่พักไม่ได้มีสระว่ายน้ำ อาจจะต้องนอนมุ้งสายบัวในโฮมสเตย์ ทานกับข้าวฝีมือชาวบ้าน และเล่นน้ำในลำธารแทน คือคุณจะได้สัมผัสวิถีชีวิต และบรรยากาศที่แตกต่างออกไป ที่สำคัญเลยคือคุณต้องเปิดใจที่จะรับมิตรภาพใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต เพราะเราจะพาคุณไปสัมผัสกับชาวบ้าน ไปพูดคุยกับคนที่คุณไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ซึ่งถ้าคุณไม่เปิดใจคุณก็จะไม่สนุกในการเที่ยวกับเรา”

การท่องเที่ยวของป้าเกษนับเป็นการเที่ยวในลักษณะของ ‘ ทริปเลือกคน ’ มากกว่าการที่คนเลือกทริป อย่างไรก็ตามแม้จะไม่ได้หรูหรา สะดวกสบายหากแต่ทุกคนที่ไปเที่ยวกับป้าเกษก็ล้วนแล้วมีแต่มีความสุขกันถ้วนหน้า   ที่สำคัญความสุขที่ว่านี้ได้ส่งต่อมายังตัวป้าเกษเองอีกด้วย

กำไรคือความสุข

“ถ้าถามว่าความสุขของเราทุกวันนี้คืออะไร บางทีมันอาจไม่ได้อยู่ที่การเดินทางออกไปท่องเที่ยวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่เป็นการได้เห็นลูกทริปเขามีความสุขในการมาเที่ยวกับเรา”

ป้าเกษไม่ได้พาผู้คนออกเดินทางท่องเที่ยวเพื่อแสวงหาตัวเลขผลกำไร หากแต่เดินทางท่องเที่ยวเพื่อแสวงหาความสุข ซึ่งความสุขของเธอก็คือรอยยิ้มของคนที่มากับเธอทุกคน

“ถ้าถามว่าความสุขของเราทุกวันนี้คืออะไร บางทีมันอาจไม่ได้อยู่ที่การเดินทางออกไปท่องเที่ยวเหมือนเมื่อก่อนแล้ว แต่เป็นการได้เห็นลูกทริปเขามีความสุขในการมาเที่ยวกับเรา ได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขา ได้เห็นพวกเขาซึ่งมาจากคนละที่ ได้มาพูดคุยเป็นเพื่อนกัน บางคนก็ต่อยอดกลายเป็นเพื่อนกันไปยาวเลย ซึ่งลูกทริปหลายๆ คน เขาก็ขอบคุณเรานะ เขาบอกขอบคุณที่เราพามาเปิดโลก ทำให้เขาได้เพื่อนใหม่ เราเองก็อยากจะขอบคุณพวกเขาเหมือนกันที่ทำให้เรามีความสุข”

เมื่อกำไรของคนนำเที่ยวอย่างป้าเกษคือรอยยิ้มบนใบหน้าของลูกทริป ทุกครั้งที่ออกเที่ยวเธอจึงมุ่งเน้นไปที่ความประทับใจของพวกเขามาเป็นลำดับแรก

“ป้าเกษเต็มที่กับเรามาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหารการกิน หรือ การถ่ายรูปสวยๆ ให้กับพวกเรา สิ่งที่สำคัญเลยคือความเป็นกันเอง คือเรามาเที่ยวกับป้าเกษนี่เรารู้สึกเหมือนมาเที่ยวกับญาติพี่น้อง เรารู้สึกสนิทใกล้ชิด แล้วก็ประทับใจมากๆ”

หนึ่งในลูกทริป บ้านจ่าโบ่ อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน ยืนยันถึงความสุขใจที่ได้รับท่ามกลางลมหนาวและไอหมอก ก่อนหันไปยิ้มให้กับหญิงสูงวัยซึ่งเป็นคนพาเธอมาสัมผัสกับความงามและธรรมชาติของที่นี่

นักเดินทางสูงวัยที่ครั้งหนึ่งเคยนั่งร้องไห้ เพราะแม่ไม่ให้ไปทัศนศึกษา

ก่อนที่อีก 50 ปี ต่อมาจะทำให้โลกของตัวเองและเพื่อนร่วมทาง สวยสดงดงาม และเต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งความสุขใจ

Credits

Authors

  • ปองธรรม สุทธิสาคร

    Author & Photographerเป็นคนเขียนหนังสือ ที่หลงใหลในวรรณกรรมน้อยกว่ากีฬา และภรรยาของตนเอง ยามว่างหากไม่ใช้เวลาไปกับการนั่งคุยกับคน ก็มักหมดเวลาไปกับการนั่งดูบาส ดูบอล และละครน้ำเน่า นักเขียนวัยหลักสี่คนนี้ยืนยันว่าตนเองคือนักอุทิศเวลาให้กับความขี้เกียจ เนื่องจากเขามีความเชื่อว่าชีวิตที่ดีต้องเป็นชีวิตที่ขี้เกียจได้

  • บุญทวีกาญน์ แอ่นปัญญา

    Cameramanเดินให้ช้าลงสักหน่อย ค่อยๆ มองเห็นความสวยงามข้างทาง

ถึงจะต่างวัยแต่ก็
อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ