อ่านคำมั่นสัญญา นายกฯ สิงคโปร์ ที่จะพาคนทุกเจเนอเรชัน ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกันอย่างมั่นคง

“เราอาจจะไม่สามารถเทียบเคียงประเทศอื่นได้ในเรื่องของพื้นที่หรือขนาด แต่เราจะนำหน้าในด้านความคิด นวัตกรรม และความมุ่งมั่นที่จะร่วมกันเป็นหนึ่งเดียวในการก้าวไปข้างหน้า”

ในขณะที่ประเทศไทยได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่และอีกไม่นานคงได้ฟังคำแถลงถึงนโยบายว่าจะพาประเทศไทยเดินหน้าไปทางไหน มนุษย์ต่างวัยชวนอ่านสุนทรพจน์ของ “ลอว์เรนซ์ หว่อง” นายกรัฐมนตรีของประเทศสิงคโปร์เนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปีแห่งการก่อตั้งประเทศสิงคโปร์ ที่เขาให้คำมั่นสัญญาต่อประชาชนสิงคโปร์ว่าจะนำพาคนทุกเจเนอเรชั่นก้าวไปข้างหน้าพร้อมกันได้อย่างมั่นคง ท่ามกลางกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลง และความไม่แน่นอนต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้

ในช่วงต้นของสุนทรพจน์ “ลอว์เรนซ์ หว่อง” ได้กล่าวถึงความยากลำบากและความเสียสละอันยิ่งใหญ่ของคนรุ่นก่อนที่วางรากฐานของสิงคโปร์ให้กลายเป็นประเทศเล็กแต่มั่นคง ส่งต่อมาจนถึงคนรุ่นปัจจุบัน สำหรับคนรุ่นนี้แม้ไม่ต้องเริ่มต้นบุกเบิกแต่ความเปลี่ยนแปลงและผันผวนของสถานการณ์โลกก็ทำให้ชาวสิงคโปร์ในปัจจุบันต้องปรับตัวไม่น้อยและการปรับตัวเพื่ออยู่รอดนี้ต้องเกิดขึ้นในคนทุกเจเนอเรชัน

กลุ่มคนวัยทำงาน วัย 40+ AI มาถึงแล้วได้เวลาที่เราต้องเรียนรู้ใหม่

รัฐบาลสิงคโปร์จัดตั้ง Singapore Economic Resilience Task Force (SERT) หรือ คณะทำงานเสริมสร้างความยืดหยุ่นทางเศรษฐกิจสิงคโปร์ วางพิมพ์เขียวทางเศรษฐกิจใหม่ เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับอนาคตของประเทศ โดยเน้นการลงทุนในด้านต่าง ๆ  โดยเฉพาะเทคโนโลยีและ AI

เป้าหมายสูงสุดของยุทธศาสตร์เศรษฐกิจคือการเพิ่มงานให้มากขึ้นและฝึกอบรมทักษะที่จำเป็นให้แก่แรงงาน ด้วยโครงการต่าง ๆ เช่น

โครงการ SkillsFuture Level-Up : โครงการสนับสนุนการพัฒนาศักยภาพของคนวัย 40+ โดยให้เครดิต SkillsFuture 4,000 ดอลลาร์ และเบี้ยเลี้ยงฝึกอบรมสูงสุด 3,000 ดอลลาร์/เดือน (นานสูงสุด 24 เดือน)

โครงการจับคู่งานใหม่ : ดำเนินการโดยสภาพัฒนาชุมชน (CDCs) สำหรับผู้ที่ต้องการทำงานใกล้บ้าน

คนรุ่นใหม่ เรียนรู้การใช้ชีวิตจริง ไม่ใช่แค่การสอบในห้องเรียน

เยาวชนสิงคโปร์ในปัจจุบันมีโอกาสหลาย ๆ อย่างมากกว่าคนรุ่นก่อน เด็กเกือบทุกคนสามารถเรียนต่อได้หลังจบชั้นประถม แต่กลับต้องเผชิญหน้ากับปัญหาใหม่ ๆ มากขึ้น เช่น การใช้บุหรี่ไฟฟ้า หรือการเผชิญความเสี่ยงทางด้านภัยออนไลน์ รัฐบาลสิงคโปร์จะจัดการความเสี่ยงเหล่านี้ ด้วยการเพิ่มโทษให้หนักเหมือนคดียาเสพติด และช่วยบำบัดคนที่ติดบุหรี่ไฟฟ้า รวมทั้งสร้างสมดุลการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ให้เด็กได้เรียนรู้จากโลกจริงมากขึ้น

เช่น กิจกรรมการเล่นกลางแจ้ง และฝึกความยืดหยุ่น นอกจากนี้ จะมีการเพิ่มบุคลากรสนับสนุน เช่น ครูแนะแนว ที่ปรึกษา เพื่อเตรียมเยาวชนในการใช้ชีวิตไม่ใช่เพื่อการสอบ และยังส่งเสริมการก้าวสู่เส้นทางอาชีพที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสตาร์ทอัป ผู้ประกอบการรายย่อย ศิลปะ กีฬา ครีเอเตอร์ รวมทั้งอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ต่าง ๆ

เมื่อสิงคโปร์แก่ขึ้น ผู้สูงอายุต้องแข็งแรง

สิงคโปร์กำลังก้าวเข้าสู่ ‘สังคมสูงวัยระดับสุดยอด’ (Super-aged Society) อย่างรวดเร็ว ปี 2015 สิงคโปร์มีจำนวนประชากรที่อายุมากกว่า 65 ปีอยู่ประมาณ 13% ในขณะที่ปี 2025 จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นไปถึง 20% และคาดว่าใน SG70 หรือในปีที่ประเทศสิงคโปร์ครบรอบ 70 ปี จำนวนประชากรเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นไปถึง 25% แต่ถึงแม้ว่าชาวสิงคโปร์จะมีอายุยืนขึ้นไปถึงเกือบ 84 ปี แต่กลับมี ‘Health Span’ หรือช่วงชีวิตที่มีสุขภาพดีเพียง 75 ปี เท่านั้น ช่วง 10 ปีสุดท้ายกลับต้องใช้ชีวิตพร้อมกับโรคหรือความพิการ ดังนั้น รัฐบาลจึงต้องสร้างระบบสาธารณสุขที่เน้น การส่งเสริมสุขภาพ มากกว่าการรักษาโรค

โครงการ Healthier SG : สนับสนุนให้ทุกคนมีหมอประจำตัว เพื่อวางแผนสุขภาพเชิงป้องกันทำแผนสุขภาพ ตรวจสุขภาพ และปรับพฤติกรรมสุขภาพให้ดีขึ้น ปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1.3 ล้านคน

โครงการ Age Well SG : ส่งเสริมให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตอย่างกระฉับกระเฉง มีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคม เพื่อป้องกันความเหงา พร้อมทั้งปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้เป็นมิตรกับผู้สูงอายุ เช่น บ้านพัก ทางเท้า สวน และลานออกกำลังกาย

การจัดการที่อยู่อาศัยและการดูแลระยะยาว

โครงการ Community Care Apartments (CCA) : โครงการที่พักอาศัยของ Housing & Development Board (HDB) หรือ หน่วยการเคหะแห่งชาติสิงคโปร์ ที่ออกแบบมาเพื่อผู้สูงอายุโดยเฉพาะ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และมีบริการต่าง ๆ เช่น ปรับปรุงบ้าน ตรวจสุขภาพ ทำความสะอาด และศูนย์กิจกรรมภายในตึก ในอนาคตจะมีการสร้างเพิ่มเติมอีก แต่โครงการนี้ยังไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคน เพราะผู้สูงอายุส่วนใหญ่ยังต้องการใช้ชีวิตในบ้านและสภาพแวดล้อมเดิมที่คุ้นเคย (Age in place) รัฐบาลสิงคโปร์จึงเริ่มโครงการย่านที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงวัย (Age Well Neighbourhoods) เพื่อตอบโจทย์ปัญหา Age in place โดยรัฐบาลจะนำองค์ประกอบสำคัญของโมเดล CCA มาปรับใช้กับย่านที่อยู่อาศัยเก่าแก่ เช่น โตปาโยห์ (Toa Payoh) ที่มีผู้สูงอายุอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยมีเป้าหมายในการสร้างระบบสนับสนุนและบริการดูแลผู้สูงอายุให้ครอบคลุมทั้งย่าน เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตในบ้านของตนเองต่อไปได้อย่างมีความสุข ปลอดภัย และไม่รู้สึกโดดเดี่ยว

‘Singapore Spirit’ ไม่ว่าวัยไหนต้องเชื่อมั่นว่า วันพรุ่งนี้ต้องดีกว่า

ในช่วงท้ายของสุนทรพจน์ นายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ได้กล่าวถึงสิ่งสำคัญที่สุด คือ ‘Singapore Spirit’ หรือความเชื่อมั่นในกันและกัน และเชื่อในวันพรุ่งนี้ที่ดีกว่า ไม่มีคำว่า ‘I’ หรือ “ ฉัน” ในทีม ทุกคนต้องคิดถึง We หรือ ‘เรา’ ก่อน ค่อยคิดถึง ‘ฉัน’ ประเทศจึงจะเติบโตได้ เพราะเมื่อสังคมแข็งแรง คนในประเทศก็จะมั่นคงเช่นกัน

แนวทางของรัฐบาลสิงคโปร์ไม่ใช่แค่การ ‘ทำเพื่อประชาชน’ แต่คือการ ‘ทำร่วมกับประชาชน’ โดยการจัดให้มี hackathon ให้คนทั่วไปได้ใช้เทคโนโลยีแก้ปัญหา ศึกษาและเสนอแนวทางนโยบายในประเด็นต่าง ๆ เช่น การแก้ปัญหาเบาหวาน หรือการสร้างความมั่นคงในการทำงาน และมี Youth Panels ที่ให้นักพัฒนารุ่นใหม่ออกแบบโครงการด้านความรู้ทางการเงิน การจ้างงาน การใช้ดิจิทัลอย่างปลอดภัย และการรีไซเคิล

คนสิงคโปร์จะไม่ได้ทำแค่เพียงแสดงความคิดเห็น แต่จะมีส่วนร่วมในการลงแรง ลงมือสร้างแนวทางแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เพื่อเปลี่ยนไอเดียให้กลายเป็นจริง

ขอบคุณภาพจาก: https://www.facebook.com/LawrenceWongST

อ้างอิง: https://www.youtube.com/live/7yzEO4hze4g?si=F91szPqX5ZZmKVff

Credits

Author

ถึงจะต่างวัยแต่ก็
อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ