ชวนย้อนกลับไปดู “ปู่ซ่าบ้าพลัง (UP)” ภาพยนตร์ที่ทำให้เข้าใจว่าการผจญภัยที่แท้จริงของชีวิตเป็นอย่างไร

ช่วงเวลาที่ชีวิตผลิบานนั้นแสนสั้น พริบตาเดียวก็ร่วงโรยเสียแล้ว

เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่วัยเยาว์เมื่อเด็กชายคนหนึ่งชื่อว่า “คาร์ล” และเด็กสาววัยไล่เลี่ยกัน “เอลลี่” ที่มีความฝันเหมือนกันคือ อยากเดินทางไปอเมริกาใต้ เพื่อไปสร้างบ้านสักหลังริมน้ำตก “Paradise Fall” เมื่อเติบโตขึ้นทั้งคู่แต่งงานกัน และเริ่มต้นชีวิตคู่ในบ้านเล็กๆ สงบเงียบหลังหนึ่ง คาร์ลและเอลลี่ดูแลกันอย่างดีทุกวัน แต่เมื่อเวลาผ่านไป ความฝันที่จะมีบ้านริมน้ำตกในอเมริกาใต้ก็เริ่มห่างไกลจากความจริงไปเรื่อยๆ เงินที่เก็บไว้สำหรับเดินทางก็ถูกใช้ไปกับปัญหาในชีวิตประจำวัน สังขารก็เริ่มโรยรา ในที่สุดเอลลี่ก็จากไป คาร์ลผู้กลายเป็นคุณปู่ไปแล้วได้แต่ใช้ชีวิตอยู่กับความเสียใจเพียงลำพังในบ้านหลังเดิมที่ตอนนี้ไม่มีเอลลี่อีกแล้ว

ถือเป็น 10 นาทีที่เล่าเรื่องด้วยภาพ ได้อย่างทรงพลัง ชัดเจน และเป็นความจริง ตลอดชีวิตที่ผ่านมา พวกเขารักกัน แต่งงานกัน เก็บเงินเพื่อความฝันเดียวกัน ทว่าความฝันนั้นไม่เคยเป็นจริง ซึ่งมนุษย์ต่างวัยเชื่อว่า ไม่ว่าคุณจะอายุเท่าไหร่ มีคู่หรือเป็นโสด เมื่อดูฉากนี้ครั้งแรก (รวมถึงดูซ้ำ) ต้องเสียมีน้ำตากันบ้างไม่มากก็น้อย

ถือเป็นความกล้าของผู้สร้างที่เอาความจริงของชีวิตของชีวิตคู่มาให้เห็นตั้งแต่ต้นเรื่อง อีกทั้งแฝงไปด้วยความสุข เศร้า ประทับใจ รวมถึงเจ็บปวด โดยไม่ต้องมีบทพูดใดๆ แต่ตราตรึงใจคนดูไม่รู้ลืม เสมือนเครื่องเตือนใจตั้งแต่ต้นเรื่องว่าช่วงเวลาในชีวิตทั้งของเราและคนรอบข้างนั้น ในความจริงช่างสั้นจนน่าใจหาย…

ไม่สายที่จะไขว่คว้าความฝันอีกครั้ง…ในวัยชรา

คาร์ลในวัยชราไม่ได้เผชิญกับความสูญเสียคนรักเท่านั้น เขายังต้องเผชิญกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย ทุนนิยมกำลังรุกล้ำเข้ามา รอบบ้านกลายเป็นตึกและอพาร์ทเม้นท์แออัด แต่ในที่สุดคุณปู่คาร์ลก็ตัดสินใจปฏิเสธบ้านพักคนชรา และใช้ชีวิตเฮือกสุดท้ายมอบให้แก่ความฝัน ด้วยการปลดปล่อยลูกโป่งนับพันที่ผูกกับตัวบ้าน ยกเขาและบ้านโบยบินไปสู่ “Paradise Fall” ในอเมริกาใต้ เพื่อทำให้ความปรารถนาเดียวในชีวิตของเขาและภรรยาผู้ล่วงลับเป็นจริง

ทว่าเมื่อคาร์ลและบ้านแสนรักลอยอยู่บนฟ้า ดันมีคนไม่คาดคิดติดมาด้วย เขาคือ “รัสเซล” เด็กชายในชุดลูกเสือผู้กำลังอยากช่วยคนชราอย่างคาร์ลเพื่อแลกกับเข็มกลัดชิ้นสุดท้ายมาติดบนหน้าอก ทำให้เขากลายเป็นเพื่อนร่วมทางสุดป่วนที่คาร์ลไม่ได้ร้องขอ การร่วมแรงร่วมใจของชายวัยใกล้ฝั่ง และเด็กชายน่ารำคาญจึงเริ่มต้นขึ้น เกิดเป็นความสัมพันธ์ที่เติมเต็มกันและกันแบบไม่ได้คาดคิด

หลังจากผ่านอุปสรรคมามากมาย ในที่สุดคาร์ลก็เอาบ้านทั้งหลังมาตั้งริมน้ำตก “Paradise Fall” จนได้ เขาหยิบสมุดอัลบั้มของเอลลี่ ซึ่งเต็มไปด้วยภาพวัยเด็ก และภาพสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่เธออยากไป มาเปิดเพื่อระลึกความหลังอีกครั้ง

เมื่อคาร์ลเปิดมาถึงหน้าที่เอลลี่เขียนว่า “สิ่งที่อยากทำ” ที่เขาคิดว่าเป็นหน้าสุดท้ายของอัลบั้ม เพราะเอลลี่จากไปพร้อมกับความฝันที่ไม่ได้ทำอีกมาก แต่ในตอนนั้นเอง เขาก็ได้ค้นพบอีกหลายๆ หน้าที่ซ่อนอยู่หลังหน้านั้น มันเต็มไปด้วยภาพชีวิตคู่ที่มีความสุขของพวกเขามากมายเหลือเกิน ซึ่งเขาเองก็ไม่เคยรู้มาก่อน และเอลลี่ยังเขียนทิ้งท้ายไว้ให้เขาอีกว่า

“ขอบคุณที่ผจญภัยด้วยกันมา ออกไปผจญภัยครั้งใหม่ได้แล้ว”
รัก เอลลี่

แท้จริงแล้วสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตอาจไม่ใช่ความฝัน แต่คือช่วงเวลาสุขและทุกข์ที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกันต่างหาก

แน่นอนว่าชีวิตคือการเดินทาง แต่อาจไม่ใช่การเดินทางเพื่อเป้าหมายใด้เป้าหมายหนึ่งเพียงอย่างเดียว ดังนั้นการหันมามองความสุขจากสิ่งที่เรามีหรือหันมาใส่ใจความสัมพันธ์กับคนรอบข้างจึงจำเป็น เพราะต่อให้ไปถึงเป้าหมายแล้ว ก็ไม่มีอะไรรับประกันว่าความสุขจะยืนยาว และในวันนั้นเราอาจหันกลับมาคิดถึงพื้นที่ความสุขที่เราคุ้นเคยก็ได้

ตลอดเวลาที่ผ่านมา คาร์ลจมอยู่กับความเศร้าและความเสียดายที่ไม่สามารถพาเอลลี่ไปอยู่ในบ้านริมน้ำตกที่ “Paradise Fall” ได้ ทั้งที่ในความจริงเขาได้ทำสิ่งที่มีความหมายไปไม่แพ้กัน (หรืออาจจะมากกว่า) ให้เธอไปแล้วโดยไม่รู้ตัว นั่นคือการใช้เวลาทุกนาทีร่วมกันขณะมีชีวิตอยู่อย่างคุ้มค่าที่สุด ส่วนความฝันที่พลาดไปมันก็เป็นแค่หนึ่งในหลายๆ เรื่องในชีวิตที่ควบคุมไม่ได้เท่านั้นเอง

กล่าวคือ คาร์ลและเอลลี่ ได้ผจญภัยกันมาอย่างยาวนานแล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความหมายที่สุดในชีวิตของเอลลี่ ไม่ใช่การมีบ้านอยู่ข้างน้ำตกแสนมหัศจรรย์อย่างที่คาร์ลคิดมาตลอด

ชีวิตคู่ที่มีทั้งสุขและทุกข์ คือการผจญภัยที่ยอดเยี่ยมที่สุด

ภาพยนตร์เรื่อง UP คือการปลุกให้เราหลุดพ้นจากความผิดหวังในอดีต คาร์ลค้นพบว่าเอลลี่สามารถทำในสิ่งที่ตัวเองทำไม่ได้ นั่นคือเธอไม่ปล่อยให้ความฝันในวัยเยาว์มากำหนดความสุขในชีวิตจนลืมมองสิ่งดีๆ รอบตัว แต่เธอเลือกจะอยู่กับปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับสิ่งที่มีทุกชั่วขณะ (โดยเฉพาะคาร์ล) ทำให้เธอสามารถมีชีวิตหลังแต่งงานที่มีความสุข แม้จะไม่ได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในสถานที่ในฝันก็ตาม

คาร์ลเริ่มยอมรับสิ่งนั้นหลังจากทำตามความฝันสำเร็จ เขาเลิกยึดติดกับบ้านที่เป็นเหมือนตัวแทนของเอลลี่ และน้ำตกที่เป็นความฝันวัยเยาว์ แล้วตัดสินใจกลับไปผจญภัยครั้งใหม่กับรัสเซลที่กำลังต้องการเขาในเวลานั้นมากที่สุด

การที่คาร์ลโยนข้าวของในบ้านทิ้งและปล่อยให้ลูกโป่งพาบ้านลอยหายไป พร้อมกับพูดว่า “มันก็แค่บ้านหลังหนึ่ง” ไม่ได้แปลว่าเขาโยนชีวิตคู่กับความฝันของเอลลี่ทิ้งไปทั้งหมด แต่เขาเข้าใจแล้วว่าอดีตก็คืออดีต เอลลี่ไม่ต้องการให้เขาชีวิตบั้นปลายยึดติดอยู่กับเรื่องเดิมๆ แต่ต้องเรียนรู้ที่จะปล่อยมือจากบางสิ่ง เพื่อให้หัวใจและจิตวิญญาณของตัวเองได้ออกตามหาความของชีวิตอีกครั้ง

ในเมื่อยังมีลมหายใจ เขายังสามารถหาความหมายของชีวิตให้กับตัวเองได้ทุกวัน โดยไม่จำเป็นต้องยึดติดกับเป้าหมายเดียวเสมอไป ซึ่งเป็นสิ่งที่เอลลี่อยากให้คาร์ลทำที่สุด…หลังจากเธอจากไป

และการผจญภัยในชีวิตอาจไม่ได้หมายถึงการบุกป่าฝ่าดง เพื่อไปให้ถึงสุดขอบโลกเสมอไป แต่อาจหมายถึงช่วงเวลาที่ได้แบ่งปันความสุขและความทุกข์ร่วมกันกับใครสักคนในขณะที่พวกเขายังมีชีวิต อย่างคาร์ลที่ใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตร่วมกับเอลลี่ และเขาก็ยังมีเวลาอีกมากมายสำหรับอยู่เป็นเพื่อนรัสเซลในชีวิตที่เหลืออยู่

Credits

Author

  • นิติภัค วรนิติโกศล

    Authorปรกติไม่ชอบความวุ่นวาย เวลาว่างชอบอ่านหนังสือกับเล่นเกม ความฝันสูงสุดของชีวิตคือการเป็นคนธรรมดาที่มีความสุข

ถึงจะต่างวัยแต่ก็
อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ