มนุษย์ต่างวัยพาขึ้นเหนือไปทำความรู้จัก Mori Natural Farm ฟาร์มสเตย์สไตล์ญี่ปุ่นในอำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ ที่เริ่มต้นจาก “ปอ” สิทธิโชค พงศ์พฤกษา และ “เมี่ยง” สรัญภร พงศ์พฤกษา คู่รัก Gen X ที่เชื่อว่า หากมีความฝันต้องวางเป้าหมายและลงมือทำ และหากเตรียมความพร้อมดีก็จะไปสู่จุดหมายที่ตั้งไว้ได้สำเร็จ จนทำให้ทั้งคู่สามารถมีชีวิตในบ้านหลังสุดท้ายท่ามกลางธรรมชาติ กับน้องหมาและเหล่ากองทัพเจ้าเหมียวตามความตั้งใจ
“ถ้ามีความฝันแล้วมัวแต่รอ เราจะไม่มีทางรู้เลยว่าวันหนึ่งจะได้ทำหรือเปล่า ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะมีชีวิตอยู่จน 50 – 60 ปีหรือไม่ เพราะฉะนั้นถ้าเราอยากจะทำอะไร ต้องวางแผนคิดให้รอบคอบ และลงมือทำให้เร็ว เราจะได้ใช้ชีวิตที่เราต้องการได้เร็วขึ้น
“ก่อนหน้าที่จะมาเปิดฟาร์มสเตย์ ผมเป็นวิศวกรที่บริษัทญี่ปุ่นมาหลายปี ด้วยรูปแบบงานทำให้เราต้องย้ายไปตามไซต์งานต่าง ๆ ไม่ได้มีบ้านอยู่เป็นหลักเป็นแหล่ง เลยมีความฝันว่าอยากมีบ้านหลังสุดท้ายเล็ก ๆ ท่ามกลางธรรมชาติกับลูก ๆ ทำให้เราวางเข็มทิศชีวิตไว้ค่อนข้างชัดเจน แล้วก็ค่อย ๆ พาตัวเองไปสู่จุดหมายที่วางไว้
“หลังจากที่รู้ว่าอยากทำอะไร ก็เริ่มมาดูว่าเราจะทำงานอีกกี่ปี เงินเดือนที่เราทำกัน 2 คนพอไหมที่จะเก็บให้มากพอที่จะย้ายมาลงหลักปักฐานที่นี่ เริ่มวางแผนว่าจะออกจากงานประจำไว้ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ในระหว่างนั้นเราสองคนก็จะช่วยกันเก็บเงินมาซื้อที่ในอำเภอแม่ริม พอซื้อที่ดินได้เรียบร้อยแล้ว ก็ต้องมาคิดว่าจะปลูกบ้านตรงไหน จุดไหนจะทำไร่ จุดไหนจะปลูกพืชผักผลไม้ พูดง่าย ๆ ก็คือ เราต้องชัดเจนว่า มาอยู่ตรงนี้เราจะมาทำอะไร สุดท้ายก็ต้องมาประเมินว่าต้องใช้งบประมาณทั้งหมดเท่าไร ตอนที่เราย้ายขึ้นมาก็ค่อย ๆ ทยอย เริ่มปลูกบ้านทีละหลัง ปลูกพืชผักสวนครัวทีละนิด”
ปัจจุบัน Mori Natural Farm มีบ้านพักเล็ก ๆ 4 หลัง ที่ผสมผสานวัฒนธรรมสไตล์ญี่ปุ่นเข้ามาในบ้านแบบ บ้านคอทเทจ, บ้านหลองข้าว, บ้านเรียวคัง ซึ่งหลังนี้มีบ่อออนเซ็นในบ้านด้วย และบ้านโรงนา พร้อมเสิร์ฟเมนูสไตล์ญี่ปุ่นและพืชผักออร์แกนิกที่ปลูกเองให้ลูกค้าได้กิน ตามคอนเซปต์ ‘เยี่ยมบ้านเพื่อน’
“ที่นี่เราจะเน้นปลูกผักผลไม้แบบปลอดสารเคมี จะปล่อยไปตามธรรมชาติ ใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยอินทรีย์ ส่วนขนมเบเกอรีเราได้พื้นฐานและความรู้มาจากแม่บ้านญี่ปุ่น เลยนำมาต่อยอดให้เข้าคอนเซปต์อาหารญี่ปุ่นสไตล์โฮมเมด
“พอได้มาทำตรงนี้ก็รู้สึกว่า มันเป็นวิถีชีวิตอีกแบบหนึ่งที่เราชอบ เป็นวัยเกือบ 50 ที่เราได้มีความสุขกับการอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ได้ปลูกผักกินเอง ยิ่งเป็นเส้นทางที่เราเลือกแล้วว่าจะทำให้เต็มที่และมีความสุข มันยิ่งรู้สึกว่าชีวิตเราถูกเติมเต็มมากขึ้น แค่ได้เห็นเขามีรอยยิ้มกลับไปจากการมาพักผ่อน ได้บริการแขกที่เข้ามาพักเหมือนเป็นเพื่อนเป็นญาติเราจริง ๆ แค่นี้เราก็มีความสุขแล้ว
“อยู่มาถึงอายุเท่านี้เราเริ่มเข้าใจชีวิตมากขึ้นว่า บางทีการที่เราดิ้นรนหาทุกสิ่งทุกอย่างโดยเฉพาะเรื่องเงินหรือวัตถุ มันไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของชีวิต เพราะชีวิตเราไม่ได้ยืนยาวขนาดนั้น ถ้าอยากทำอะไร ให้รีบวางแผนและลงมือทำให้เร็วที่สุด จะได้ใช้ชีวิตในแบบของเราแบบไม่ต้องรอ อย่าเพิ่งกลัวปัญหาที่จะเกิดขึ้น ให้ค่อย ๆ เรียนรู้จากประสบการณ์ในแต่ละวันไปเรื่อย ๆ สำคัญคือให้เลือกทำในสิ่งที่เรารักและทำด้วยใจ เพราะผลลัพธ์มันจะออกมาดี รวมถึงเราเองก็จะมีความสุขกับสิ่งที่เราเลือก
“ถ้าวันนี้คุณกำลังมีสิ่งที่อยากทำให้สำเร็จ ให้ลองหลับตานึกภาพในอนาคตว่า…เราอยากจะเป็นแบบไหนในอนาคต ถ้าคุณชอบใช้ชีวิตแบบไหนภาพมันจะขึ้นมา แล้วให้คุณจดจำภาพนั้นไว้ ตั้งเป้าชีวิตแบบนั้นไว้แล้วเริ่มลงมือทำ วันหนึ่งคุณก็จะทำได้”