ไม่ว่าจะสุข ทุกข์ หรือต้องเจอกับวิกฤตอะไร ถ้าคนในครอบครัวพร้อมที่จะดูแลกันเราจะผ่านพ้นปัญหานั้นไปด้วยกัน

“ครอบครัวเรามีกันอยู่ 4 คน เราเป็นลูกชายคนโตของบ้าน มีน้องสาวหนึ่งคน อายุ 21 ปี แล้วก็พ่อกับแม่ ครอบครัวเราเป็นครอบครัวเล็กๆ ที่สนิทกันมาก เรา 4 คนไม่เคยแยกจากกันเลย ไปไหนต้องไปด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน กินข้าวด้วยกัน ในทุกๆ เทศกาลก็จะอยู่ฉลองด้วยกัน เวลาจะทำอะไรเราจะนึกถึงกันเป็นอันดับแรก การอยู่ด้วยกันของเรามันกลายเป็นชีวิตประจำวัน เป็นรูทีนไปแล้ว แต่พอวันหนึ่งวิกฤตโควิดก็ทำให้เราต้องแยกจากกัน

“ช่วงต้นสงกรานต์ ประมาณวันที่ 12 เม.ย. 2564 ครอบครัวเราเดินทางไปต่างจังหวัดทั้งครอบครัว 4 คนพ่อแม่ลูกเหมือนทุกปี เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว กลับมาวันที่ 13 ซึ่งปกติจะเป็นวันรวมญาติ แต่สงกรานต์ปีนี้โควิดมันหนัก ญาติจากต่างจังหวัดก็งดเดินทาง เป็นสงกรานต์ที่เงียบเหงา เราก็เลยขอไปบ้านแฟน ส่วนน้องไปพักที่คอนโดใกล้กับมหาวิทยาลัยเพราะมีเรียนในวันที่ 14 พอวันที่ 15 น้องกลับมาอยู่บ้าน ทุกอย่างก็ยังปกติดีจนถึงวันที่ 17 แม่ไลน์มาในกรุ๊ปครอบครัวบอกว่า น้องมีไข้ขึ้นสูง ตอนนั้นเรายังอยู่ที่บ้านแฟนอยู่ พอรู้ข่าวก็ไม่ได้แปลกใจอะไร คิดว่าน้องเป็นไข้หวัดธรรมดา เพราะปกติน้องเป็นคนไม่ค่อยแข็งแรง ไม่สบายบ่อยๆ อยู่แล้ว แม่ก็คอยเช็ดตัวให้ คอยดูแลอยู่ใกล้ชิด จนน้องไข้ขึ้นสูงเรื่อยๆ พ่อกับแม่จึงตัดสินใจส่งน้องไปโรงพยาบาล พอไปถึงหมอก็แนะนำให้ตรวจโควิด ตรวจรอบแรกไม่เจอ แต่ไข้น้องขึ้นสูงถึง 40 องศา ก็เลยไปตรวจอย่างละเอียดรอบสอง ผลออกมาเป็นบวก ตอนนั้นหมอสันนิษฐานว่า น้องน่าจะได้รับเชื้อมาจากคอนโดในช่วงวันที่ 14 เพราะที่คอนโดนั้นพบว่ามีคนติดเชื้อโควิด

“หลังจากรู้ผลว่าน้องติดโควิด พ่อกับแม่มีความเสี่ยงสูง ส่วนเรากลับเข้าบ้านไม่ได้เพราะอาจจะมีความเสี่ยงเพิ่ม เป็นช่วงที่เราทั้ง 4 คนต้องแยกกันอยู่เพื่อดูแลตัวเอง พ่อกับแม่ตรวจหาเชื้อรอบแรกไม่เจอ หมอให้กลับไปกักตัวอยู่ที่บ้านเพื่อดูอาการรอตรวจรอบที่สอง ประมาณ 2-3 วันต่อมา พ่อเริ่มมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวจึงไปตรวจรอบที่สองก่อนกำหนด ผลออกมาว่า พ่อติดโควิดต้องแอดมิตที่โรงพยาบาล ส่วนแม่ยังไม่มีอาการอะไรต้องอยู่กักตัวต่อ ระหว่างที่แม่ต้องกักตัวอยู่ในบ้านคนเดียวเราก็ขับรถแวะเอาตะกร้าสำหรับใส่อาหารไปผูกไว้ที่ประตูหน้าบ้าน เผื่อเวลาที่มีใครเอาอาหารมาส่งให้แม่ บางวันเราก็สั่งอาหารจากแกร็บให้ไปส่ง พอถึงวันที่แม่ต้องไปตรวจโควิดรอบสองก็ทราบผลว่าแม่เองก็ติดโควิด ส่วนเราโชคดีที่ตรวจทั้งสองรอบผลออกมาไม่พบเชื้อ แต่เราก็ยังกลับเข้าบ้านไม่ได้อยู่ดี เพราะต้องรอให้สาธารณสุขเข้ามาฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อ ทำให้ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราทั้ง 4 คนต้องแยกออกจากกัน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้น

“ความรู้สึกตอนนั้นคือ เมื่อคนอื่นติดแล้วเหลือเราคนเดียว เราต้องคอยจัดการทุกอย่าง อย่างแรกคือต้องเป็นคนดูแลบ้าน เพราะไม่มีใครแล้ว ที่บ้านเลี้ยงหมา เราต้องคอยเอาข้าวไปให้ สอดส่องบ้านจากข้างนอกว่ามีอะไรผิดปกติไหม ในระหว่างที่พ่อ แม่ น้องสาว ต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล เราจะติดต่อสื่อสารกันผ่านทางไลน์กรุ๊ปครอบครัวตลอด พ่อแม่และน้องสาวเขาใช้เทคโนโลยีได้ในระดับหนึ่ง ตอนเย็นเราก็จะวิดีโอคอลหากัน ให้เห็นหน้าพร้อมกัน 4 คน เพื่อให้กำลังใจกันทุกวัน แม่ก็จะบอกกับเราตลอดว่าอยู่ข้างนอกก็ให้ดูแลตัวเองดีๆ เดี๋ยวพ่อก็หาย เดี๋ยวน้องก็หาย เดี๋ยวแม่ก็หาย เดี๋ยวก็ได้กลับไปอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม ทุกคนดูสดใสกันมากเวลาที่เราคุยกัน แต่ถามว่ามีความเครียดไหม เราเชื่อว่าทุกคนมีความเครียด อย่างน้องสาวเขาคุยกับเราก็จะโทษตัวเองให้ฟังว่าเป็นคนนำเชื้อมาแพร่ ทำให้พ่อกับแม่ต้องป่วย น้องเครียดจนกินข้าวไม่ได้ นอนไม่หลับ ในฐานะพี่เราก็พยายามให้กำลังใจ พูดแต่เรื่องดีๆ บอกให้น้องลองมองอีกมุมหนึ่งว่า ปีๆ หนึ่งพ่อแม่เราทำงานทุกวัน ก็ให้คิดว่าช่วงนี้เป็นช่วงลาพักร้อนของพ่อกับแม่แล้วกัน น้องก็เริ่มดีขึ้น ส่วนแม่ก็จะกังวลเรื่องพ่อ ด้วยความที่เราอยากดูแล เราก็จะคอยถามเขาตลอดว่าอยากได้อะไรไหม อยากกินอะไรไหม คือพยายามทำให้เขามีตัวช่วยให้สบายใจ แม่บ่นอยากกินส้มเราก็ไปหาซื้อมาให้แล้วฝากกับพยาบาลไปให้

“บางคนเจอสถานการณ์ที่คนในบ้านติดโควิดกันหมดอาจจะแพนิกไปเลย แต่พอเป็นคนในครอบครัวเราจริงๆ เราถึงรู้วิธีจัดการ เราเป็นห่วงก็เป็นห่วง แต่สิ่งหนึ่งที่รู้สึกได้ก็คือ ถ้าเรามีสติมันรักษาได้ แค่ต้องให้เวลา ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป ตอนที่ทุกคนรักษาตัวกันไปได้สักระยะหมอบอกว่าเชื้อลงปอดพ่อแล้ว เราก็ตกใจ มันจะอันตรายหรือเปล่าเราไม่รู้ รู้แค่ว่าพ่อต้องได้รับยาชนิดรุนแรง พ่อกินข้าวไม่ได้ เหนื่อยง่าย หายใจไม่ปกติ เราเป็นห่วงพ่อมากเพราะพ่อมีโรคประจำตัวคือโรคหัวใจ ถ้าเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นมาจะทำยังไง พ่อเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นเสาหลักของบ้าน เราคิดไปต่างๆ นานา แต่พอมันผ่านจุดหนึ่งมาแล้ว มันรู้สึกเองว่า ไม่ว่ายังไงเราต้องพาทุกคนผ่านไปให้ได้ เราต้องทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัวแทนพ่อได้ เราบอกตัวเองทุกวันว่าต้องยอมรับให้ได้และเข้มแข็งกว่านี้ แล้ววางแผนว่าหลังจากนี้ต้องทำยังไง เราคิดไว้หมดเลย พยายามทำทุกอย่างให้เห็นว่าเราพร้อมที่จะช่วยเหลือเขาทุกเมื่อไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ไม่ต้องรอไปถามเขา อันไหนทำให้ได้ ทำก่อนเลย อย่างเช่น อีกไม่กี่วันน้องต้องออกจากโรงพยาบาล หลังจากที่สาธารณสุขมาพ่นยาฆ่าเชื้อเราก็เอาอาหาร น้ำ ทุกอย่างไปเตรียมไว้ให้ที่บ้าน เพราะน้องยังต้องกักตัว ก็ช่วยให้พ่อกับแม่หายห่วงเรื่องน้อง โฟกัสที่การรักษาของตัวเอง

“ถามว่าวิกฤตโควิดที่เกิดขึ้นกับบ้านเราทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนไปไหม มันคงไม่ใช่อะไรแบบนั้น แต่มันทำให้เราเห็นภาพของคำว่า ‘ครอบครัว’ ชัดเจนมากกว่าว่า ไม่ว่าจะสุข ทุกข์ หรือต้องเจอกับวิกฤตอะไร ถ้าคนในครอบครัวพร้อมที่จะดูแลกัน ให้กำลังใจกัน ช่วยกันแบ่งเบาปัญหา ปัญหาหนักแค่ไหนมันก็เบาลงได้ และในที่สุดเราจะพากันผ่านพ้นปัญหานั้นไปได้”

Credits

Authors

  • อชิตา พุ่มแจ้

    Author & Drawมนุษย์เป็ดที่กำลังฝึกหัดภาษาจีน ฝันอยากเป็นนักร้องเสียงเพราะ แต่ปัจจุบันยังเป็นแค่นักร้องเสียงเพี้ยน

  • สุกฤตา ณ เชียงใหม่

    Author & Drawรับบทเป็นกราฟิกสาววัยเบญจเพส เป็นคนชอบศิลปะ จับปากกา แต่พอโตขึ้นมาเพิ่งจะรู้ว่าชอบเธอ ฮิ้ววว :)

ถึงจะต่างวัยแต่ก็
อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ