“การมีสุขภาพดีคือรางวัลอันสูงสุด” ความสุขของ ‘ป้าเหรียญ สตรองยิม’ อดีตนักเพาะกายทีมชาติไทย

ในวัย 53 ปี ร่างกายของ ธนัญญา แซ่โง้ว หรือที่คนในวงการเพาะกายรู้จักกันดีในชื่อ ‘ป้าเหรียญ สตรองยิม’ เต็มไปด้วยมัดกล้าม ทั้งอก หลัง หน้าท้อง ต้นแขน ต้นขา ทุกส่วนมีแต่กล้ามเนื้อที่แข็งแรงและสวยงาม

นั่นอาจเป็นเพราะว่ารางวัลสูงสุดของอดีตนักเพาะกายทีมชาติไทยคนนี้ไม่ใช่การเป็นแชมป์โลกเพาะกายหญิง แต่เป็นการมีสุขภาพดีในทุกๆ วัน

“ขอแค่ตื่นขึ้นมาแล้วร่างกายแข็งแรงเป็นปกติ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ เราว่านี่คือรางวัลที่ดีที่สุดแล้ว”

ความเชื่อผิด + วิธีผิด = ผลลัพธ์ผิด

ก่อนที่จะมีมัดกล้ามอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ป้าเหรียญก็เหมือนผู้หญิงหลายๆ คนที่มีความเชื่อว่ารูปร่างผอมเท่ากับดี

สมัยเป็นวัยรุ่น ป้าเหรียญจัดได้ว่าเป็นคนหน้าตาดีคนหนึ่ง เธอเป็นนางรำของชมรมนาฏศิลป์ เวลามีงานแข่งกีฬาของวิทยาลัยหรืองานกีฬาสีก็มักได้รับเลือกให้ถือป้ายของสถาบันแทบทุกครั้ง อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับนางรำคนอื่นๆ ป้าเหรียญสังเกตว่ารูปร่างของตัวเองนั้นไม่เหมือนกับเพื่อนคนไหนเลย

“เพื่อนคนอื่นหุ่นเขาจะเพรียว เอวคอด เป็นทรงแจกัน แต่หุ่นเราจะเป็นแบบสามเหลี่ยมหัวกลับ คือช่วงบนใหญ่ หน้าอ้วน ตัวหนา คอตัน ไม่ค่อยมีก้น เวลากินอะไรก็จะไปออกแต่ช่วงบนหมด โครงร่างแบบนี้ก็ทำให้ใส่ชุดนางรำยาก ใส่ชุดแล้วดูไม่สวย อาจารย์ที่ชมรมก็จะพูดกรอกหูอยู่เสมอว่า ระวังอย่าให้อ้วนนะ ต้องลดน้ำหนักนะ จะได้ใส่ชุดแล้วดูสวย เราเลยท่องไว้ในใจว่า ฉันต้องผอม ฉันจะให้น้ำหนักขึ้นไม่ได้”

ป้าเหรียญในสมัยวัยรุ่นสูง 158 เซนติเมตร น้ำหนัก 45 กิโลกรัม นับว่าเป็นตัวเลขที่น่าจะสมส่วนแล้ว แต่ด้วยความเชื่อฝังหัวทำให้หญิงสาวยังอยากลดน้ำหนักลงให้ได้อีก 3-4 กิโลกรัม เธอพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ผอมลง ตั้งแต่กินข้าวให้น้อยโดยใช้วิธีเขี่ยข้าวทิ้ง กินยาระบายเพื่อให้ร่างกายขับถ่ายมากขึ้น ไปจนถึงขั้นพึ่งยาลดความอ้วนซึ่งเป็นวิธีที่ไม่ควรทำแม้แต่น้อย

“เวลากินข้าวที่บ้านเราจะตักข้าวให้ดูปกติ เพื่อหลอกแม่ว่าเราไม่ได้กินข้าวน้อยนะ แต่พอกินจริงเราจะแอบเขี่ยทิ้งเกินครึ่งจาน เรากินน้อยมาก เวลาหิวก็อาศัยอมลูกอมเอา กินน้อยอย่างเดียวไม่พอ เรายังไปกินยาระบายอีก คราวนี้ก็เลยเกิดปัญหาเพราะเรากินน้อย ร่างกายก็ขับถ่ายออกมาน้อย ถึงพยายามกินยาระบายมากแค่ไหนแต่มันไม่มีอะไรออกมา เราก็ยิ่งฝืนด้วยการเบ่ง พอเบ่งมากเข้าสุดท้ายก็เป็นริดสีดวง

ความเชื่อว่า ‘ผอมแล้วถึงจะดี’ ฝังหัวป้าเหรียญตั้งแต่วัยรุ่นต่อเนื่องมาถึงตอนทำงาน จนเป็นที่มาของการพยายามใช้ทางลัดอย่างยาลดความอ้วน

“ตอนนั้นเราเริ่มหันมากินยาลดความอ้วน   ช่วงแรกที่กินมันก็ผอมลงจริงๆ พอมีคนมาชมว่าผอม เราก็คิดว่ามาถูกทางแล้ว แต่สักพักพอมันโยโย่กลับมากลายเป็นว่าน้ำหนักเราขึ้นมามากกว่าเดิมอีก

“พอน้ำหนักเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา ผลก็คือเราเริ่มโทรม เมื่อกินยาลดความอ้วนมากเข้า ร่างกายเราเริ่มมีอาการชาครึ่งซีก จนสุดท้ายคิดได้ว่าถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปเราแย่แน่ เลยเลิกกินยาลดความอ้วน แต่ก็ยังอยากผอมอยู่ดีนะ ความเชื่อนี้ยังอยู่ในหัวเราตลอด”

ป้าเหรียญเจอเส้นทางสู่ความผอมด้วยวิธีใหม่ เมื่อวันหนึ่งเพื่อนสนิทของเธอชักชวนให้ออกกำลังกายด้วยการเข้าฟิตเนส แม้จะต้องเสียค่าสมาชิกราคาแพง แต่หญิงสาวก็ตัดสินใจสมัครโดยไม่ลังเล

“เพื่อนเขารู้ว่าเราอยากผอมเลยชวนให้สมัครเป็นสมาชิกที่ฟิตเนสแห่งหนึ่งแถวสีลม ต้องบอกว่าการเล่นฟิตเนสเมื่อ 20 กว่าปีก่อน ยังไม่ได้เป็นที่นิยมเหมือนสมัยนี้ ค่าสมาชิกก็แพงมาก แต่เราก็ยินดีจ่ายเพื่อที่ว่าจะได้ผอมโดยไม่ต้องกินยาลดความอ้วนอีก”

ในวัย 30 ปี ป้าเหรียญบอกลายาลดความอ้วนอย่างเด็ดขาด ก่อนหันมาออกกำลังกายอย่างจริงจัง

น้ำหนักของเธอลดลงตามที่คิดไว้จริงๆ ติดที่ว่าเป็นการลดที่ไม่มีคุณภาพอะไรเลย

เส้นทางถูก + วิธีผิด = ผลลัพธ์ผิด

หลังจากสมัครเป็นสมาชิกที่ฟิตเนสแล้ว ทุกๆ วันป้าเหรียญจะไปออกกำลังกายตั้งแต่ 6 โมงเช้า กว่าจะกลับออกมาอีกทีก็หลังเที่ยงไปแล้ว

“เราไปถึงก่อนเทรนเนอร์อีก เรียกว่ามาเปิดฟิตเนสเลยก็ได้ พอไปถึงเราก็โหมออกกำลังกายมั่วไปหมด ทั้งวิ่ง ทั้งยกเว ต ทั้งปั่นจักรยาน ทั้งเต้นแอโรบิก เราเล่นเครื่องเล่นทุกแบบที่เขามี คือเล่นมั่ว เล่นแบบไม่มีหลักการ ท่าก็ไม่ถูกต้อง ไม่มีองค์ความรู้อะไรทั้งนั้น พอวิ่งเสร็จ ยกเวตเสร็จยังไม่พอ ไปว่ายน้ำต่ออีก

“ทุกวันที่ไปฟิตเนส เราจะบ้าการเผาผลาญไขมันมาก บอกตัวเองว่าฉันจะต้องเบิร์นให้ได้ 1,000 กิโลแคลอรี โปรแกรมไว้ในหัวเลย เหมือนเป็นโรคจิตอ่อนๆ ท่องไว้ในใจว่า ‘ต้องได้ 1,000 แคล ต้องได้ 1,000 แคล ต้องได้ 1,000 แคล’

“ไม่ใช่แค่นั้นนะ เรายังใส่ชุดซาวนาทั้งวัน ชุดแบบที่นักมวยเขาใส่รีดเหงื่อตอนลดน้ำหนักน่ะ ขนาดอยู่บ้าน กวาดบ้านเฉยๆ ก็ยังใส่ ด้วยความที่ไม่มีความรู้ ไม่มีคนคอยสอนวิธีการที่ถูกต้อง แล้วยิ่งมีคนชมว่าผอมลง เราก็เลยยังเชื่อเหมือนเดิมว่าเรามาถูกทางแล้ว”

แน่นอนว่าการเผาผลาญไขมันในร่างกายด้วยการโหมออกกำลังกายอย่างหนักทำให้น้ำหนักของเธอลดลงอย่างรวดเร็ว หากแต่ในอีกทางหนึ่งมันคือการทำลายกล้ามเนื้อในทางอ้อม เพราะไม่ได้มีการสร้างกล้ามเนื้ออย่างถูกวิธี ด้วยเหตุนี้ตัวเลขน้ำหนักของป้าเหรียญที่หายไปจึงแลกมาด้วยเนื้อหนังที่หย่อนยาน

“เชื่อไหมว่าเวลาใส่ชุดไปฟิตเนส เราไม่เคยกล้าใส่เสื้อแขนกุดหรือชุดรัดรูปเลย เพราะเนื้อตัวเราย้วยมาก เล่าง่ายๆ ให้เห็นภาพว่าเราสามารถโกยผิวตรงหน้าท้องที่ย้วยขึ้นมาได้หนึ่งกำมือเต็มๆ จนหลังๆ เริ่มมีคนมาเตือนว่าออกกำลังกายแบบนี้มันไม่ดีนะ ระวังจะช้ำใน มันไม่ดีต่อข้างใน ตอนมีคนเตือนเรายังคิดเลยว่า เธออิจฉาฉันละสิที่เห็นฉันผอม เลยไม่อยากให้ฉันออกกำลังกาย ทั้งที่เขาเตือนด้วยความหวังดีแต่เรากลับคิดว่าเขาอิจฉา”

ป้าเหรียญอดหัวเราะออกมาไม่ได้เมื่อนึกไปถึงความคิดของตัวเองเมื่อ 20 กว่าปีก่อน โดยนอกจากออกกำลังกายไม่ถูกวิธีแล้ว เธอยังกินอาหารไม่ถูกวิธีอีกด้วย ส่งผลให้ระบบเผาผลาญในร่างกายรวนไม่เป็นท่า

“เราออกกำลังกายหนักแต่ดันกินน้อย แล้วก็ไม่รู้ว่าไอ้ที่กินๆ ไปนั่นมีประโยชน์บ้างหรือเปล่า ตอนแรกๆ น้ำหนักก็ลงดี แต่ต่อมามันเริ่มนิ่งเนื่องจากระบบเผาผลาญทำงานไม่มีประสิทธิภาพ เพราะเราส่งอาหารไปให้ร่างกายน้อย ร่างกายก็เหมือนกับเตาเผา ส่วนอาหารเหมือนกับเชื้อเพลิง เมื่อเราส่งเชื้อเพลิงไปให้ร่างกายน้อย ร่างกายคนเราก็ฉลาด มันเก็บเชื้อเพลิงไว้เผาผลาญในสิ่งที่จำเป็นมากกว่า

“ถ้าเราอยากจะให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดีก็ต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ในปริมาณที่ถูกต้องและเหมาะสม”

อดีตนางรำคนสวยเริ่มกังวลกับตัวเลขน้ำหนักที่หยุดนิ่งและเนื้อหนังที่หย่อนย้วย แต่เธอก็ยังคงเข้าฟิตเนสและออกกำลังกายแบบผิดๆ กระทั่งวันหนึ่ง ‘อ๊อฟ’ – กอบกู้ ยศสมศรี ลูกชายเจ้าของ ‘สตรองยิม’ สถานที่ออกกำลังกายชื่อดังในย่านฝั่งธนฯ เข้าช่วยมาแนะนำ ก่อนจะวางโปรแกรมที่ถูกต้องให้กับเธอ

“น้องอ๊อฟเขามาทำธุระที่ฟิตเนสที่เราเล่นอยู่พอดี แล้วเขาคงสังเกตเห็นว่ามาตั้งแต่เช้าตรู่ แต่เที่ยงกว่าแล้วก็ยังไม่กลับ เขาก็เลยมาพูดกับเราว่าที่ทำอยู่มันไม่ดีเพราะอะไร ควรจะเล่นแบบไหน เซตละกี่ครั้ง แรกๆ เราก็ไม่ค่อยกล้าคุยกับเขานะ แต่ต่อมาก็เปิดใจ บอกเขาว่าเรามีปัญหาอะไรบ้าง เขาก็แนะนำ สอน แล้วก็วางโปรแกรมที่ถูกต้องให้ใหม่ทั้งหมด

“ขณะเดียวกันเขาก็เปลี่ยนทัศนคติเรา ทำให้เรารู้ว่าตัวเลขน้ำหนักไม่สำคัญเท่ากับความแข็งแรงของสุขภาพร่างกาย”

หลังจากได้ครูดีคอยสอนตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน ไล่จากการทำสิ่งง่ายๆ ไปหาสิ่งยากๆ ป้าเหรียญก็มีร่างกายที่ดีและแข็งแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื้อหนังที่เคยหย่อนย้วยค่อยๆ เปลี่ยนเป็นมัดกล้าม

“พอเรียนกับอ๊อฟแล้วเราก็เลยเปลี่ยนมาเล่นที่สตรองยิมเนื่องจากอยู่ใกล้บ้านมากกว่า ตลอดเวลา 7 ปีแรกที่เล่นฟิตเนสที่นี่ ร่างกายเราเฟิร์มขึ้นทุกปี ยิ่งในช่วงหลังจากที่พ่อกับแม่เสียชีวิตไปแล้ว เราอยู่คนเดียวก็ยิ่งมีเวลาดูแลตัวเองมากขึ้น เราเลยเริ่มมีความคิดที่จะประกวดเพาะกายเนื่องจากอยากเห็นกล้ามเนื้อของตัวเองให้ชัดขึ้น ทางอ๊อฟและสตรองยิมก็ตกลง แล้ววางโปรแกรมฝึกซ้อมสำหรับแข่งขันให้”

จากคนที่เคยอยากลดน้ำหนักจนต้องพึ่งยาลดความอ้วน ป้าเหรียญเปลี่ยนแปลงตัวเองกลายเป็นผู้หญิงที่แข็งแรงและเตรียมลงแข่งขันประกวดเพาะกาย

ในเวลานั้นป้าเหรียญไม่รู้หรอกว่า เส้นทางการเพาะกายของเธอจะไปไกลกว่าที่คิดไว้มาก

เส้นทางถูก + วิธีถูก = ทีมชาติไทย

ป้าเหรียญลงแข่งขันเพาะกายเป็นครั้งแรกในรายการ Pre Mr.Thailand ซึ่งเป็นรายการที่จัดขึ้นก่อนการชิงแชมป์ประเทศไทย ขณะนั้นเธอมีอายุ 47 ปี โดยลงแข่งในรุ่นอายุ 35 ปีขึ้นไป

เพียงแค่เวทีแรก ป้าเหรียญก็ประสบความสำเร็จ คว้ารางวัลชนะเลิศมาครอง

“เราคิดแค่ว่าไปลองเวทีเฉยๆ ถึงแพ้ก็ไม่เป็นไร แต่ผลที่ออกมาดันกลายเป็นว่าเราได้ที่ 1 ซึ่งมันไม่น่าเชื่อ ถามว่าดีใจไหม มันก็ดีใจ แต่ก็มีความรู้สึกประหลาดใจปนอยู่ด้วย เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้

“สำหรับโปรแกรมการซ้อมเพื่อการแข่งขันนั้นทุกอย่างจะกระชับ รวดเร็ว แล้วก็ละเอียดกว่าปกติ มีการชั่งน้ำหนักอาหารที่กินในแต่ละมื้อเลยว่าเราต้อง กิ นข้าวเท่าไหร่ โปรตีนเท่าไหร่ ค่าต่างๆ ในร่างกาย ตัวไขมันดี มวลกล้ามเนื้ออยู่ที่เท่าไหร่ ทุกอย่างต้องเป๊ะ ขณะที่การฝึกซ้อมจะใช้เวลาแค่ไม่เกิน 1 ชั่วโมง แล้วก็พักผ่อนให้เป็นเวลา”

หลังจากได้แชมป์ในรายการแรกที่ลงประกวดแล้ว ป้าเหรียญยังได้อันดับที่ 3 ในรายการชิงแชมป์ประเทศไทย และอันดับที่ 5 จากเวที ‘หนุ่มกายงาม สาวกล้ามสวย’ ด้วยรูปร่างและการทำผลงานที่ไม่ธรรมดา ทำให้สมาคมกีฬาเพาะกายและฟิตเนสแห่งประเทศไทยเรียกตัวเธอเข้าไปเป็นนักกีฬาทีมชาติ ก่อนจะลงแข่งขันในรุ่น Open ไม่จำกัดอายุ ในรายการระดับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และได้แชมป์ในฐานะตัวแทนประเทศไทย

“สำหรับเรา การแข่งขันในนามทีมชาติมันมีความรู้สึกกดดันมากกว่าการแข่งขันปกติ เพราะเหมือนเรากำลังแบกประเทศชาติเอาไว้บนบ่า แต่ในทางกลับกัน หากเราทำได้ มันก็จะรู้สึกภาคภูมิใจมากกว่า”

หลังจากชนะเลิศในรายการดังกล่าวแล้ว ป้าเหรียญก็ได้เป็นตัวแทนประเทศไทยอีกครั้งในการแข่งขันเพาะกายและฟิตเนสชิงแชมป์โลก 2018 ที่จัดขึ้นที่เชียงใหม่ ในรุ่นอายุ 40 ปีขึ้นไป ซึ่งขณะนั้นป้าเหรียญอายุ 50 ปีแล้ว

แม้ไม่ได้รางวัลชนะเลิศ แต่การได้อันดับ 3 ในรายการนั้นก็สร้างความภาคภูมิใจอย่างที่สุดในชีวิต อย่างไรก็ตาม แม้จะเคยได้อันดับต้นๆ ในการแข่งระดับโลกมาแล้ว แต่ป้าเหรียญก็ไม่เคยลืมเป้าหมายที่สำคัญที่สุดของการหันมาออกกำลังกาย

มันไม่ใช่การติดทีมชาติอย่างยาวนาน ไม่ใช่เหรียญทองโอลิมปิก ไม่ใช่ถ้วยรางวัลชนะเลิศชิงแชมป์โลก หากแต่มันคือสิ่งที่ใครหลายคนมักหลงลืมที่จะใส่ใจ

สิ่งนั้นก็คือการมีสุขภาพดี

ทัศนคติดี = สุขภาพดี

ปัจจุบันป้าเหรียญได้ ‘ แขวนกล้าม ’ กับทีมชาติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ยังคงออกกำลังกายและเล่นฟิตเนสอยู่อย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งคอยดูแลและให้คำแนะนำกับผู้มาออกกำลังกายที่สตรองยิม

“เรายังออกกำลังกายเป็นประจำ กล้ามเนื้อก็ยังมีอยู่ หุ่นยังเฟิร์ม เพียงแต่อาจไม่ได้ทำทุกอย่างละเอียดเหมือนตอนที่แข่งขันหรือติดทีมชาติ

“ตอนนี้เราคอยดูแลแล้วก็ให้คำแนะนำกับคนที่มาเล่นฟิตเนสที่สตรองยิม โดยเราจะเอาประสบการณ์ของมาเราถ่ายทอดให้เขา ให้เขาได้ออกกำลังกายอย่างถูกต้อง”

แม้จะเคยมีประสบการณ์ในฐานะนักกีฬาทีมชาติมาไม่น้อย แต่ป้าเหรียญยืนยันว่าสำหรับเธอแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดในการออกกำลังกายก็คือ การมีสุขภาพที่ดีและร่างกายที่แข็งแรง ไม่ใช่การติดทีมชาติ การแข่งขันเพื่อความเป็นเลิศ หรือการเป็นแชมป์โลกเพาะกาย

“ถามว่าการติดทีมชาติดีไหม เราว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีนะ ได้ท้าทายความสามารถ ได้พัฒนาตัวเองในหลายๆ ด้าน แต่ทุกวันนี้เราไม่ได้เป็นทีมชาติแล้ว เราก็ยังออกกำลังกายทุกวัน ยังดูแลเรื่องการกินอาหาร ถ้าถามว่าเราทำเพื่ออะไร เราไม่ได้ทำเพื่อจะกลับไปติดทีมชาติอีกครั้ง ไม่ได้ทำเพื่อจะเป็นแชมป์โลก เพราะมันไม่ใช่เวลาของเราแล้ว แต่เราทำเพื่อให้ร่างกายยังแข็งแรงมีสุขภาพดี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการเล่นกีฬา

“มันจะมีประโยชน์อะไรถ้ามีถ้วยแชมป์โลกเต็มบ้าน แต่ต้องเข้าออกโรงพยาบาลเป็นบ้านหลังที่สองในชีวิต”

Credits

Authors

  • ปองธรรม สุทธิสาคร

    Author & Photographerเป็นคนเขียนหนังสือ ที่หลงใหลในวรรณกรรมน้อยกว่ากีฬา และภรรยาของตนเอง ยามว่างหากไม่ใช้เวลาไปกับการนั่งคุยกับคน ก็มักหมดเวลาไปกับการนั่งดูบาส ดูบอล และละครน้ำเน่า นักเขียนวัยหลักสี่คนนี้ยืนยันว่าตนเองคือนักอุทิศเวลาให้กับความขี้เกียจ เนื่องจากเขามีความเชื่อว่าชีวิตที่ดีต้องเป็นชีวิตที่ขี้เกียจได้

  • บริภัทร บุญสวัสดิ์

    Cameramanหลงใหลผลลัพท์ในรอยยิ้มหวานเจี๊ยบจริงใจที่ส่งคืนกลับมา :)

ถึงจะต่างวัยแต่ก็
อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ