“ทำทุกวันให้เหมือนวันแข่ง” สุพรต เพ็งพุ่ม วัย 72 ปี โค้ชผู้เป็นลมใต้ปีกให้กับทีมวีลแชร์เรซซิ่งทีมชาติไทย

ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา ทีมวีลแชร์เรซซิ่งทีมชาติไทยไม่เคยพลาดเหรียญรางวัลจากการแข่งขันเลยสักครั้ง เพราะพวกเขามีทั้งหลักชัยและหลักใจที่ชัดเจนและมั่นคงมาตลอด ถึงแม้ว่าการฝึกซ้อมจะเข้มข้นและจริงจังมากแค่ไหน แต่เป้าหมายในการฝึกซ้อมทุก ๆ วันกลับไม่ได้ถูกผูกไว้ที่เหรียญรางวัลหรือชัยชนะ แต่เป็นเพียงผลลัพธ์ที่ดีขึ้นกว่าวันที่ผ่านมา

“แค่พยายามทำให้ดีขึ้นกว่าครั้งที่แล้ว ค่อย ๆ ไปทีละสเต็ป มุ่งมั่น ตั้งใจ และใส่ใจเรื่องการฝึกซ้อม” นั่นคือเป้าหมายที่โค้ชสุพรต เพ็งพุ่ม หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมวีลแชร์เรซซิ่งทีมชาติไทย อยากให้นักกีฬาทุกคนทำได้

ทีมวีลแชร์เรซซิ่งทีมชาติไทย

แม้จะอยู่ในวัย 72 ปี แต่ก็ไม่เคยมีวันไหนที่โค้ชจะหยุดทุ่มเทและหาวิธีพัฒนาศักยภาพของทีมนักกีฬาเลยสักครั้ง ทุกความสำเร็จของเหล่านักกีฬาวีลแชร์เรซซิ่งทีมชาติไทยล้วนแล้วแต่มีโค้ชสุพรตอยู่เบื้องหลัง คอยเจียระไนเพชรเม็ดงามให้ส่องประกาย จนความสามารถของนักกีฬาวีลแชร์เรซซิ่งไทยเป็นที่ประจักษ์ในระดับโลก

นอกจากเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอน โค้ชยังเป็นเหมือนครูและพ่อคนที่สองของเหล่าลูกศิษย์ในทีมอีกด้วย เพราะสิ่งที่โค้ชทำนั้นไม่ใช่แค่เทรนเรื่องการแข่งขัน แต่โค้ชยังเข้ามาดูแลเรื่องความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันของทีมนักกีฬาด้วยความรัก ความเอาใจใส่ และความปรารถนาดีที่มีต่อลูกศิษย์ทุกคน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ทีมนักกีฬาทุกคนมีกำลังกาย กำลังใจที่จะทุ่มเทให้กับการแข่งขันในทุก ๆ ครั้งอย่างเต็มที่ เพราะพวกเขาต่างรู้ดีว่ามีใครหลายคนที่กำลังรอคอยความสำเร็จของพวกเขาอยู่ และสิ่งที่พวกเขากำลังทำนั้นก็นับเป็นโอกาสสำคัญที่อาจเปลี่ยนชีวิตของตัวเองและคนรอบตัวไปตลอดกาล

เกิดมาเพื่อเป็นครู

“ผมเป็นโค้ชวีลแชร์เรซซิ่งมาประมาณ 30 ปีแล้ว เมื่อก่อนผมเป็นผู้ฝึกสอนกรีฑาให้สมาคมกรีฑาสมัครเล่นแห่งประเทศไทย ผมทำงานทางด้านกีฬามาตลอด เป็นทั้งผู้ตัดสินฟุตบอล ผู้ตัดสินวอลเลย์บอล พอดีตอนนั้นผมได้รู้จักกับอาจารย์มงคล ใจดี ซึ่งเป็นหัวหน้าศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬาอยู่ในขณะนั้น เขามาชวนให้ผมไปช่วยงานที่โรงเรียนศรีสังวาลย์ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ซึ่งเป็นโรงเรียนคนพิการในพระบรมราชูปถัมป์ของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี

“ช่วงแรก ๆ ที่ต้องเปลี่ยนจากการสอนเด็กปกติมาสอนเด็กพิการ ผมก็ยังจับทางไม่ถูกเท่าไร ก็ต้องมาศึกษากับพวกเด็ก ๆ ที่โรงเรียนมีเรียนเทเบิลเทนนิส แต่เด็กบางคนก็ยังจับไม้ไม่ได้ ผมก็ค่อย ๆ คิดหาวิธี ค่อย ๆ ปรับไปเรื่อย ๆ ตอนแรกก็หนักใจ แต่พอนาน ๆ ไป มันก็เริ่มดีขึ้น เรื่องการสื่อสารเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะบางอย่างที่เราสื่อสารไป แต่เด็ก ๆ ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จัก เขาก็จะไม่เข้าใจ

ทีมวีลแชร์เรซซิ่งทีมชาติไทย

“ก่อนที่ผมจะมาสอนวีลแชร์เรซซิ่ง ผมสอนกีฬามาหลายชนิด ทั้งว่ายน้ำ เทเบิลเทนนิส แล้วถึงได้มาสอนวีลแชร์เรซซิ่ง ตอนแรกที่ไปสอน ผมก็ไม่ได้คิดหรือคาดหวังอะไรมาก คิดแค่ว่าเราฝึกเด็ก ๆ ให้เขาไปแข่งกับคนต่างโรงเรียน ต่างสโมสรไปก่อน

“พอดีตอนนั้นผมได้รู้จักกับคนที่เขาทำงานเกี่ยวกับรถวีลแชร์ เขาแนะนำให้เราสมัครสมาชิกนิตยสารของอเมริกาที่ทำเรื่องเกี่ยวกับคนพิการ ทั้งรถแข่ง รถนั่ง อุปกรณ์การช่วยเหลือต่าง ๆ บางช่วงในคอลัมน์ก็จะมีการแนะนำเรื่องการเทรนนิง การสอนนักกีฬาไว้ ผมก็ค่อย ๆ ศึกษาไปเรื่อย ๆ แต่กว่าจะสื่อสาร พูดคุยกับนักกีฬาให้เขาเข้าใจได้มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

“เรื่องสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือเรื่องของรถแข่ง เมื่อก่อนเด็ก ๆ 3-4 คน ใช้รถแข่งคันเดียวในการซ้อม เราก็ต้องอธิบายให้เขาเข้าใจว่ามันทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะสรีระของคนเราแตกต่างกัน ถ้าเขาตัวเล็กแล้วมานั่งรถใหญ่มันก็ไม่พอดีกับช่วงสรีระ การวางบาลานซ์ตัวมันก็ลำบาก เรื่องพวกนี้มันเป็นรายละเอียดเฉพาะ

“ช่วงหนึ่งเราลองทำรถกันขึ้นมาเอง ผมชวนเพื่อนที่จบวิศวะมาช่วย แต่เราไม่รู้เลยว่าองศาเท่าไรที่มันเหมาะสมสำหรับล้อรถวีลแชร์ เราทำได้แค่ใช้รถเข็นที่ได้รับบริจาคจากญี่ปุ่นมาเป็นต้นแบบแล้วลองทำตามเขา ซึ่งพอทำออกมาแล้วคุณภาพมันก็ไม่ได้ดีเท่าไร”

ทีมวีลแชร์เรซซิ่งทีมชาติไทย

เมื่อแสงเริ่มส่องสว่าง

“ตอนที่เราอยู่กับเด็กปกติ เราสร้างให้เขาเป็นแชมป์ได้ พอเรามาอยู่กับเด็กพิการ เราก็ต้องทำให้ได้ ถ้าเราทำให้เขามีสุขภาพดี มีชีวิตที่ดี เวลาที่เขาจบออกไป เขาก็อาจจะได้ทำงานดี ๆ อย่างน้อย ๆ เราก็ต้องทำให้เขาสามารถแข่งในระดับประเทศให้ได้ก่อน

“พอฝึกซ้อมกันมาเรื่อย ๆ เราก็เริ่มจับทางได้ เด็ก ๆ เขาก็เริ่มรู้แล้วว่าต้องทำอะไรบ้าง พอทำสถิติได้ดีขึ้น เขาก็เริ่มมีความมั่นใจมากขึ้น ตอนแรกที่เด็ก ๆ เขาไม่มั่นใจในตัวเรา เพราะเขาคงเห็นว่าเราไม่ใช่คนพิการ ไม่เคยเทรน ไม่เคยรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน

“ตรงนี้เป็นจุดที่ค่อนข้างสำคัญมาก ๆ เราจะต้องมีความอดทน และความพยายามค่อนข้างสูง ตอนนั้นเราก็จะทำลูกกลิ้งมาเทรนนิงนักกีฬาวีลแชร์ ก็ต้องไปขอคำแนะนำเพื่อนที่เขาเป็นโค้ชจักรยาน ไปคิด ไปจ้างเขาทำ ใช้เงินส่วนตัวทั้งนั้น เพราะเราต้องทำให้เขาเห็นก่อน ให้เป็นรูปเป็นร่าง ว่าพอเราเทรนไปแข่ง แล้วผลมันออกมาดีขึ้น เราถึงเริ่มของบประมาณสนับสนุนได้

“เมื่อก่อนแค่ไปขอเขาใช้สนามซ้อมก็ยังยาก โชคดีที่เราได้ใช้สนามกีฬากองทัพอากาศ (ธูปะเตมีย์) ในการฝึกซ้อม พอเราได้ซ้อม ทุกอย่างมันก็เริ่มดีขึ้น เราค่อย ๆ ขยับกันมาเรื่อย ๆ จนถึงช่วงที่ประเทศไทยได้เป็นเจ้าภาพเฟสปิกเกมส์ (มหกรรมกีฬาคนพิการนานาชาติที่ยิ่งใหญ่ในระดับเดียวกับกีฬาเอเชียนเกมส์) เราถึงมีโอกาสได้ซื้อรถวีลแชร์ใหม่ แต่ก็ซื้อเป็นไซซ์ ไม่ได้วัดขนาดตามตัวนักกีฬา แต่คุณภาพมันก็ดีกว่ารถที่เราเคยใช้

ตอนแข่งเฟสปิกเกมส์เราได้เหรียญทองเกือบทุกระยะที่ลงแข่ง เราชนะญี่ปุ่น ชนะจีนมาได้ แล้วพอถึงการแข่งขันพาราลิมปิกเกมส์ปี 2000 ที่ซิดนีย์ เราได้เหรีญทองมา 4 เหรียญ สามารถทำลายสถิติได้ทั้งสถิติในประเทศและสถิติโลก จากเมื่อก่อนไม่เคยมีใครรู้จักทีมวีลแชร์เรซซิ่งไทยเลย แต่นับตั้งแต่นั้นเราก็แข่งได้เหรียญมาตลอดจนถึงปัจจุบัน จนทุกวันนี้ทีมชาติไทยก็ถือว่าอยู่ในระดับเวิล์ดคลาสในวงการวีลแชร์เรซซิ่ง”

ทีมวีลแชร์เรซซิ่งทีมชาติไทย

เคียงข้างในทุกจังหวะสู่เส้นชัย

“เวลาฝึกซ้อมผมจะอยู่กับทีมตลอด ไม่ได้ไปไหน เช้ามาสนาม เย็นก็มาสนาม หยุดพักแค่ช่วงบ่ายวันอาทิตย์กับเช้าวันจันทร์ พอซ้อมเสร็จ ก็ต้องเอาผลการฝึกซ้อมรายสัปดาห์ รายเดือนมาประเมิน เราซ้อมกันตลอด ซ้อมทั้งปี เพราะเรามีแข่งหลายสนาม ทั้งเวิลด์แชมเปี้ยนชิพ

เอเชียนเกมส์ ซีเกมส์ พาราลิมปิกเกมส์ ซึ่งเราจะต้องมีสถิติเก็บไว้ก่อนลงแข่งเสมอ เราก็เลยต้องซ้อมต่อเนื่อง จะมาซ้อมเดือนต่อเดือนไม่ได้

“การเป็นโค้ชมันต้องเสียสละ ต้องทุ่มเทจริง ๆ จะมาคิดว่าซ้อมเสร็จก็คือเสร็จมันไม่ใช่ เราต้องปลูกฝังให้เขาเป็นระบบ ระเบียบ ต้องช่วยจัดการชีวิตประจำวันของเขาได้ เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่มันจะทำให้เกิดปัญหาตามมา อย่างที่กิน ที่นอน เราก็ดูแลให้เขา พยายามให้เขาได้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี

“เราจะหยุดคิด หยุดพัฒนาไม่ได้ ถ้าไปแข่งแล้วแพ้กลับมา เราก็ต้องมาหาสาเหตุให้ได้ว่ามันเกิดจากจุดไหน แล้วจะแก้ไขอย่างไร เราพยายามบอกกันตลอดว่า เวลาซ้อมทุกครั้งเราต้องทำให้เหมือนตอนแข่ง ถ้าเวลาที่เราซ้อมเราเหนื่อย เวลาแข่งเราจะไม่เหนื่อย แต่เราจะชนะ แต่ถ้าเวลาซ้อมเราไม่เหนื่อย เวลาแข่งเราจะเหนื่อย แต่ไม่ชนะ”

ทีมวีลแชร์เรซซิ่งทีมชาติไทย

ครูผู้เป็นลมใต้ปีก

สำหรับความสำเร็จในสนามการแข่งขันวีลแชร์เรซซิ่งครั้งล่าสุด คือ การแข่งขันวีลแชร์เรซซิ่งเวิลด์กรังด์ปรีซ์ รายการ World Para Athletics Grand Prix 2025 ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา

บีม ชัยวัฒน์ รัตนะ นักกีฬาวีลแชร์เรซซิ่งทีมชาติไทยได้ระเบิดพลังแซงคู่แข่งจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในช่วง 200 เมตรสุดท้าย และสามารถคว้าแชมป์วีลแชร์เรซซิ่ง 800 เมตรชาย คลาส T34 มาได้สำเร็จ

“จริง ๆ ผมก็อยากจะพักนะ แต่มันก็รู้สึกว่าเรายังพักไม่ได้ ยังหยุดไม่ได้ ช่วงที่ผมไปเป็นโค้ชที่ต่างประเทศ ทีมนักกีฬาของเราไม่เคยได้เหรียญทองเลย ทั้ง ๆ ที่ผมก็ส่งตารางการฝึกซ้อมให้เขา ให้ศิษย์เก่าที่เคยลงแข่งกลับมาสอน แต่เขาก็ทำกันไม่ได้ ผมก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรเหมือนกัน สุดท้ายผมก็เลยต้องกลับมา แล้วพอผมกลับมา ทีมก็เริ่มกลับมาได้เหรียญทองกันอีกครั้ง

ทีมวีลแชร์เรซซิ่งทีมชาติไทย

“การเป็นนักกีฬามันคือโอกาส เพราะมันไม่ใช่แค่การไปแข่ง แล้วได้รางวัล ได้เงินกลับมา แต่มันเปลี่ยนชีวิตของหลาย ๆ คนไปเลย บางคนได้สร้างบ้านให้พ่อแม่ บางคนได้ทำงานดี ๆ บางคนได้สร้างครอบครัว

“ผมรู้สึกชื่นใจ อบอุ่นใจ เหมือนเราได้สร้างคนที่มีคุณภาพขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ดีใจและภูมิใจที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาได้บ้าง ถึงแม้ว่ามันจะไม่มาก แต่มันก็ดีกว่าการที่เขาไม่ได้มาอยู่ตรงนี้

ผมยังไม่รู้เลยว่าจะเลิกเป็นโค้ชตอนไหน เพราะมันก็ยังผูกพันอยู่ ผมคิดว่าก็คงอยู่เป็นขวัญกำลังใจให้กับเด็ก ๆ แบบนี้ไปก่อน เรื่องความต่างของวัยมันไม่เป็นปัญหาเลย เราทำหน้าที่สอนเขา เทรนเขา สร้างเขา ให้มีชีวิตที่ดีที่สุด พยายามแก้ไขให้เขาประสบผลสำเร็จ เด็กทุกคนไม่เคยเรียกเราว่าโค้ชเขาเรียกเราว่าครู’”

Credits

Author

  • มนุษย์ต่างวัย

    Authorพื้นที่ถ่ายทอดเรื่องราวของสังคมสูงวัยในมุมที่สนุก สร้างสรรค์ และเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนทุกวัย

ถึงจะต่างวัยแต่ก็
อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ