กว่า 30 ปีที่หลุมขุดค้นที่ 3 (ห้วยประตูตีหมา) อุทยานแห่งชาติภูเวียง อ.เวียงเก่า จ.ขอนแก่น ไม่ได้มีการขุดค้น หรือสำรวจหาร่องรอยของสิ่งมีชีวิตใด ๆ จนกระทั่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2567 สถานที่แห่งนี้ก็กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง เพราะมีการสำรวจพบร่องรอยของไดโนเสาร์ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นสายพันธุ์ใหม่ต่างจากที่เคยขุดพบ
ภารกิจการขุดค้นครั้งใหม่จึงเริ่มต้นขึ้น เพื่อหาคำตอบว่าร่องรอยเหล่านี้จะเป็นของไดโนเสาร์ตัวที่ 6 แห่งภูเวียง และตัวที่ 14 ของประเทศไทยหรือไม่ ซึ่งภารกิจในครั้งนี้ก็นำไปสู่การกลับมาลงพื้นที่ทำงานอีกครั้งของ ดร.วราวุธ สุธีธร วัย 76 ปี นักบรรพชีวินวิทยาคนแรกของเมืองไทย ผู้บุกเบิกเรื่องไดโนเสาร์ให้กับประเทศ ที่ยังคงสนุกกับการสำรวจ ขุดค้น และตามหาร่องรอยต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ ๆ ที่เราอาจยังไม่เคยรู้จักจากชิ้นส่วนของฟอสซิลที่อยู่ในชั้นหินใต้พื้นโลก
นอกจากบุกเบิกเส้นทางบรรพชีวินให้กับประเทศ ดร.วราวุธยังบุกเบิกเส้นทางในการทำงานนี้ให้กับ ดร.สุรเวช สุธีธร วัย 43 ปี รองผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและการศึกษาบรรพชีวินวิทยา ลูกชายที่ในวัยเด็กเคยกลัวไดโนเสาร์ แต่ก็เติบโตมากับเครื่องมือที่ใช้สกัดหินและขุดค้นซากฟอสซิล จนในที่สุดก็กลายเป็นผู้รับไม้ต่อในการพัฒนางานให้กับวงการบรรพชีวินของไทย รวมทั้งถ่ายทอดความรู้เหล่านี้ให้กับเด็ก ๆ รุ่นใหม่ที่สนใจเรื่องราวของสิ่งมีชีวิตในโลกยุคเก่าต่อไปด้วย
เส้นทางสู่การเป็นนักบรรพชีวิน
“เมื่อก่อนเราสนใจทางด้านวิทยาศาสตร์ ชอบอ่านหนังสือสารคดีวิทยาศาสตร์ที่เขาเล่าเรื่องการสำรวจของคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส การสำรวจขั้วโลก เราก็มานั่งนึกว่าเราต้องเรียนอะไรถึงจะได้ไปสำรวจอะไรพวกนี้บ้าง แล้วก็เจอว่าถ้าเรียนทางธรณีวิทยา เราก็จะมีโอกาสเดินทางไปในที่ต่าง ๆ มีโอกาสได้ไปสำรวจทั่วโลก เราก็เลยเลือกเรียนทางธรณีฯ หลังจากนั้นก็มาทำงานสำรวจ
“ช่วงปี 2519 มีนักธรณีวิทยาไปเจอกระดูกท่อนหนึ่งขนาดยาวประมาณ 40-50 ซม.อยู่ในลำธาร ตอนนั้นเราก็ตื่นเต้นกันว่ามันจะเป็นกระดูกของอะไรได้บ้าง เพราะมันมีขนาดใหญ่มาก บางคนก็สันนิษฐานว่ามันเป็นกระดูกช้าง แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นฟอสซิลที่อายุเก่ากว่าช่วงเวลาที่ช้างกำเนิด เพราะฉะนั้นหลายคนก็เลยบอกว่ามันน่าจะเป็นไดโนเสาร์ แต่จริง ๆ แล้วตอนนั้นยังไม่มีใครเชื่อว่ามันจะเป็นกระดูกไดโนเสาร์
“หลังจากนั้นก็มีการนำกระดูกไปโชว์ไว้ที่พิพิธภัณฑ์ที่กรมทรัพยากรธรณี วันหนึ่งมีนักบรรพชีวินวิทยาจากฝรั่งเศสเดินทางมาที่เมืองไทย เขาเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์แล้วเห็นกระดูกท่อนนี้อยู่ในตู้ เขาก็เลยไปคุยกับหัวหน้าฝ่ายโบราณชีววิทยา ถามว่ากระดูกที่อยู่ในตู้นั้นเก็บมาจากที่ไหน น่าสนใจนะ เขาอยากตามไปดูแหล่งที่พบกระดูกชิ้นนี้ รวมทั้งแหล่งอื่น ๆ ด้วย ก็เลยตกลงกันว่าเขาจะเข้ามาทำงานร่วมกับเรา”
ร่องรอยที่หายไปในกาลเวลา
“เราเริ่มสำรวจกันตั้งแต่ปี 2521-2522 ช่วงนั้นมีหลายคนที่ไปเจอแหล่งกระดูก ผมเจอที่ภูกุ้มข้าว จ.กาฬสินธุ์ แล้วก็มีคนไปเจอที่ จ.หนองบัวลำภู ทางฝรั่งเศสเขาก็ส่งเจ้าหน้าที่มา 4 คน เป็นผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยปารีส 6 (Paris VI) และพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาแห่งปารีส เขาเข้ามาดูตัวอย่างที่เราเจอ
“พอช่วงปี 2524 เราก็สำรวจเจอแหล่งไดโนเสาร์ที่ภูเวียง ตอนนั้นนักธรณีวิทยาที่เขาสำรวจแร่ยูเรเนียม เขาเจอกระดูกอยู่บนยอดภูประตูตีหมา เขาก็เลยพาเราขึ้นไปตรงจุดนั้น พอไปถึงเราก็เริ่มขุดขึ้นมา ปรากฏว่ากระดูกชิ้นนั้นเป็นกระดูกต้นแขนของไดโนเสาร์กินพืชขนาดใหญ่
“ตอนนั้นผมก็ไปเจอฟันซี่หนึ่งยาวประมาณ 1 นิ้ว อยู่ในบริเวณนั้นด้วย ก็เลยส่งให้ดร.อีริก (Éric Buffetau) ที่เขาเชี่ยวชาญด้านสัตว์เลื้อยคลานโดยเฉพาะดู พอเขาดูเขาก็บอกว่าฟันซี่นี้ไม่ใช่ฟันจระเข้ แต่เป็นฟันไดโนเสาร์แน่ ๆ เขาก็เลยเก็บตัวอย่างไปวิจัย หลังจากนั้นประมาณ 3-4 ปีเราก็รู้ว่าฟันพวกนี้เป็นฟันของพวกสไปโนซอริดส์ (Spino saurids) หรือไดโนเสาร์กินเนื้อขนาดใหญ่ เขาก็เลยตั้งชื่อขึ้นมาใหม่ว่า สยามโมซอรัส สุธีธรนี (Siamosaurus suteethorni)”
ต่อยอดเส้นทางในต่างแดน
“ปี 2525 เรามาตั้งหลักอยู่บนยอดภูลูกเดิมอีกครั้ง แล้วเดินสำรวจไปทั่ว ๆ เราเจอกระดูกที่มันกระจายอยู่บนหิน ห่างไปจากจุดเดิมหลายร้อยเมตร ผลปรากฏว่ามันต่อกันได้เป็นกระดูกซี่โครงยาวประมาณ 1 ฟุต ทุกคนก็เลยเข้ามาช่วยกันหา ตอนแรกก็ไม่เจออะไร จนอีกวันหนึ่งเราก็กลับมาจุดเดิมอีกครั้ง แล้วค่อย ๆ ขุดเปิดผิวหน้าเอาหินออกไป จนเจอชั้นกระดูกที่มันเรียง ๆ กัน โชคดีที่มันเป็นกระดูกจากตัวเดียวกัน แล้วหินก็ไม่แข็งมาก ใช้ค้อนขูดออกมาได้ เราก็เลยใช้แปรงปัด ๆ ขึ้นมาจนเห็นกระดูกอยู่ประมาณ 10 กว่าชิ้น ก็เลยขุดแล้วเอาตัวอย่างกลับไป
“หลังจากนั้นประมาณ 5 ปี ทางฝรั่งเศสเขาก็หาทุนให้ผมไปฝึกงานที่โน่น เพื่อที่จะไปเรียนรู้วิธีการขุดตัวอย่าง วิธีการอนุรักษ์ตัวอย่างในห้องแล็บ รวมทั้งเรียนรู้การทำงานของเครื่องมือต่าง ๆ ด้วย
“ปีแรกที่ผมไปฝรั่งเศส ผมไปอยู่ประมาณ 5 เดือน ฝึกงานอยู่ 3-4 อย่าง หลังจากนั้นประมาณ 2 ปี ก็มีทุนมาให้ผมไปร่วมทีมขุดค้นไทย-ฝรั่งเศส พอขุดไปเรื่อย ๆ เราก็ได้เป็นตัวหลัก บางปีเราก็ได้ข้ามไปขุดที่สเปน บางครั้งก็ไปโมร็อกโก ก็เลยมีโอกาสได้เห็นอะไรหลาย ๆ อย่าง
“พอกลับมาทำงานที่ประเทศไทย เราได้เจอชิ้นส่วนฟอสซิลไดโนเสาร์เพิ่มขึ้นทุกปีในพื้นที่หลายจังหวัดของประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงปี 2537-2538 ที่ภูกุ้มข้าว จ.กาฬสินธุ์ หลังจากนั้นเราก็ไปสำรวจเจอที่กุฉินารายณ์ และภูน้อย ช่วง 10 กว่าปีแรก เราเจอไซต์หลายไซต์มาก จนกระทั่งถึงช่วงที่ผมเกษียณ เราเจอไซต์ทางภาคอีสานอีกประมาณ 14-15 จังหวัด แล้วก็เจอตัวอย่างฟอสซิลของไดโนเสาร์ตั้งแต่ช่วงประมาณ 200 ล้านปี – 100 ล้านปี นอกจากนี้ก็เจอชิ้นส่วนของสัตว์อื่น ๆ อีกหลายชนิด เช่น ช้างโบราณ กวาง จระเข้ เสือเขี้ยวดาบ ฯลฯ”
งานที่ไม่มีวันหยุดเรียนรู้
“ความยากของการเป็นนักบรรพชีวิน คือ เราต้องเรียนรู้ตลอดเวลา เพราะเวลาที่เราเจออะไรใหม่ ๆ เราก็ต้องไปเรียนรู้ว่ามันเป็นร่องรอยของสิ่งมีชีวิตอะไร จำพวกไหน ตอนแรกเราต้องแยกให้ออกก่อนว่าหินกับฟอสซิลมันต่างกันอย่างไร พอเจอฟอสซิลเราก็ต้องดูเบื้องต้นว่ามันเป็นฟอสซิลของสัตว์มีกระดูกสันหลัง สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง หรือเป็นแค่รูหนอนชอนไช พวกรอยเท้าก็เหมือนกัน เราต้องดูให้ออกว่าเป็นรอยทางเดินของสัตว์กลุ่มไหน ชนิดใด
“ถ้าเราจะหาไดโนเสาร์ เราก็จะดูชั้นหินตะกอนที่สะสมตัวบนแผ่นดินในสมัยมหายุคมีโซโซอิก (ช่วงอายุ 245 – 66 ล้านปี) ซึ่งเป็นหินตะกอนสีแดง มีลักษณะเป็นยอดเหลี่ยม ที่อยู่ในภาคอีสาน
“เราตื่นเต้นนะ เวลาที่เราเจอฟอสซิลไม่ว่ามันจะเป็นของอะไรก็ตาม โดยเฉพาะถ้าเป็นกลุ่มที่เราตามหา เป็นชิ้นส่วนสำคัญ หรือเป็นส่วนที่เราไม่เคยเจอมาก่อน เช่น ตอนที่เราเจอส่วนกระดูกที่เป็นรองเท้าบูต ที่หายากมาก ๆ เพราะมันเป็นชิ้นส่วนของไดโนเสาร์กินเนื้อซึ่งมีจำนวนไม่ถึง 1% ของจำนวนไดโนเสาร์ที่มีในโลกในช่วงเวลานั้น ๆ”
งานที่ไม่อยากให้มีวันเกษียณ
“ผมดีใจ และมีความสุข ที่มีน้อง ๆ สนใจมาทำงานด้านนี้กันเยอะมาก ตอนนี้ก็มีน้องคนหนึ่งที่อาสาเข้ามาช่วยงานด้วย ต้องบอกก่อนว่าทำงานอย่างนี้ไม่รวยนะ แต่เรามีความสุขที่ได้ทำ เราได้ทำงานที่เราชอบ ได้เดินทางไปดู ไปค้นพบอะไรใหม่ ๆ ที่เรายังไม่รู้จัก ตอนนี้ในเมืองไทยมีไดโนเสาร์อยู่ 13 ชนิด ครึ่งค่อนหนึ่งเป็นตัวอย่างที่ทีมเราไปสำรวจ ไปค้นหามา
“ตอนแรกที่เริ่มมีโควิด-19 ผมคิดว่าคงจะไม่ได้กลับไปทำอะไรแล้ว แต่พอมีโปรเจกต์นี้มาเมื่อช่วงต้นปีที่แล้ว ผมก็เลยได้กลับมาช่วยงานอีกครั้ง เราทำงานกันได้ช้ากว่าที่คิดไว้มาก มันต้องขุด ต้องทำทุกวัน แต่ตอนนี้ได้ทีมมาช่วยก็เร็วขึ้น
“งานของเราเป็นงานที่ท้าทายนะ เพราะเราไม่มีทางรู้เลยว่าจะเจอหรือไม่เจอ เราไม่รู้หรอกว่าในชั้นหินนี้ ภูเขานี้จะมีหรือไม่มี แต่ทุกที่ก็มีโอกาสเจอได้ทั้งนั้น ถ้ายังหาเจออยู่ ผมก็ยังสนุกอยู่นะ มันก็ยังพอมีแรงที่จะทำ เวลาหาเจอสักอาทิตย์ละ 3-4 ชิ้น มันก็มีงานที่เราจะต้องไปทำต่อ ไปดูว่าแต่ละชิ้นมันคืออะไรบ้าง พอเจอชิ้นใหม่ ๆ เราก็อยากจะเปิดดูให้ได้
“ตอนนี้เรายังพอมีกำลังอยู่ แล้วมันพอมีแหล่งที่จะไปสำรวจได้ โปรเจกต์นี้มันก็เลยเป็นโอกาสสำหรับเรา ดีกว่านั่งอยู่เฉย ๆ”
ส่วนสำคัญที่ทำให้การหวนคืนสู่สนามสำรวจ ขุดค้น ของดร.วราวุธเกิดขึ้นอีกครั้งก็คือการสนับสนุนจาก ดร.ป้อง หรือ ดร.สุรเวช สุธีธร ลูกชายผู้เดินตามรอยเส้นทางบรรพชีวินเหมือนอย่างพ่อ จนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไดโนเสาร์เพียง 1 ใน 4 คน ของประเทศไทย และเป็นผู้เชี่ยวชาญไดโนเสาร์กินพืชคอยาว หรือ ซอโรพอด เพียงคนเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ดร.ป้องได้เล่าถึงภารกิจการสำรวจครั้งนี้ว่า
“ตอนนี้ที่อุทยานแห่งชาติภูเวียงกำลังกลับมาขุดค้นไดโนเสาร์อีกครั้ง ซึ่งเราคาดว่าเป็นไดโนเสาร์กินพืชคอยาวชนิดใหม่ที่ค้นพบในประเทศไทย ที่จริง ๆ เราเจอกระดูกมันมาตั้งแต่ 40 ปีที่แล้ว แต่เราคิดว่ามันคือ ภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน ซึ่งเป็นไดโนเสาร์ที่เราเคยเจอที่นี่ ก็เลยไม่ได้ขุดค้นต่อ แต่เมื่อไม่กี่ปีก่อน เรามาดูดี ๆ อีกครั้งก็พบว่าไม่ใช่ เราก็เลยกลับมาขุดค้นกันใหม่อีกครั้ง เพราะเราเพิ่งสังเกตเห็นว่ามันเป็นกระดูกสันหลังที่มีขนาดใหญ่กว่าภูเวียงโกซอรัส สิรินธรเน ถึง 2 เท่า
“ภารกิจในครั้งนี้ได้รับทุนวิจัยจาก กองทุนจัดการซากดึกดำบรรพ์ กรมทรัพยากรธรณี ปีละประมาณ 900,000 บาท เพื่อสนับสนุนในส่วนของค่าจ้างนักวิจัย และค่าวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ
“ความยากในการขุดค้นครั้งนี้ก็คือความแข็งและเหนียวของหิน จากการเดินทางไปขุดไดโนเสาร์มาทั่วประเทศ ผมยกให้หินที่นี่เป็นหนึ่งในไซต์ที่มีความแข็งที่สุดเลย ด้วยความที่มันเป็นหินทรายแล้วมีปูนเป็นตัวเชื่อมประสานเหมือนกับเราสกัดหินอยู่ในพื้นคอนกรีตที่ใส่แต่ปูนโดยไม่มีกรวด ไม่มีทรายผสมเลย
“ความยากอีกอย่างหนึ่งก็คือถึงแม้ว่ากระดูกที่เราเจอจะมีชิ้นใหญ่ แต่ตัวเนื้อกระดูกจริง ๆ บางมาก บางแค่ 2-3 มม. เท่านั้น มันเลยเพิ่มความยากในการขุดค้นเข้าไปอีก เพราะถ้าหากเราจะตอก ทุบ หรือสกัดแรง ๆ ส่วนที่แตกจะไม่ใช่หิน แต่มันจะเป็นกระดูก มันก็เลยยิ่งทำให้เราต้องใช้เวลาและความชำนาญในการขุดมากขึ้นไปอีก”
นอกจากแหล่งขุดค้นไดโนเสาร์ภูเวียงแห่งนี้ ยังมีแหล่งซากดึกดำบรรพ์ที่น่าสนใจอีกหลายที่ในประเทศไทย เช่น แหล่งซากดึกดำบรรพ์ภูน้อย จ.กาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นแหล่งซากดึกดำบรรพ์ที่เพิ่งถูกค้นพบไม่นาน และอยู่ระหว่างการศึกษาวิจัย มีการค้นพบกระดูกไดโนเสาร์หลายพันชิ้น ซึ่งถือว่ามากที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งแหล่งซากดึกดำบรรพ์ที่น่าสนใจอีกหลายที่ อาทิ แหล่งรอยตีนไดโนเสาร์ท่าอุเทน จ.นครพนม แหล่งรอยตีนไดโนเสาร์ภูเก้า จ.หนองบัวลำภู แหล่งซากไดโนเสาร์ภูกุ้มข้าว จ.กาฬสินธ์ุ ฯลฯ
ลูกไม้ที่หล่นใต้ต้น
“ช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา คุณพ่อเขาต้องอยู่แต่ในห้องเล็ก ๆ เป็นปี ๆ มันทำให้เขาดูเฉาไปเลย แต่การที่เขาได้กลับมาทำงาน ได้แต่งตัวออกไปสำรวจ ขุดค้นแบบนี้ มันทำให้เขายังแข็งแรง ยังคงเป็นหนุ่ม และดูมีชีวิตชีวาขึ้น
“เราเห็นคุณพ่อทำงานนี้มาตั้งแต่เด็ก เพราะเราตามคุณพ่อไปไซต์ต่าง ๆ อารมณ์เหมือนตามเขาไปเที่ยว ไปเดินป่า ไปเล่นสนุก ตอนนั้นก็ยังไม่ค่อยสนใจว่าไดโนเสาร์เป็นอย่างไร จำได้ว่ากลัวไดโนเสาร์ด้วยซ้ำ แต่อาจเป็นเพราะความคุ้นเคยกับพวกอุปกรณ์สกัดหิน อุปกรณ์ในห้องแล็บต่าง ๆ ที่เป็นเหมือนของเล่นที่เราเล่นมาตั้งแต่เด็ก ๆ มันก็เลยเหมือนเราค่อย ๆ ซึมซับทุกอย่างมาโดยที่ไม่มีใครสอน
“การศึกษาเรื่องไดโนเสาร์มันไม่ได้บอกแค่ว่าเป็นไดโนเสาร์ตัวใหม่แล้วก็จบ แต่มันช่วยอธิบายประวัติศาสตร์ ความเป็นมาต่าง ๆ ได้ อย่างการที่ภาคอีสานต้องมาเจอดินเค็มอยู่ในทุกวันนี้ มันก็เป็นดินที่ไดโนเสาร์เคยเจอ แล้วก็ตายด้วยความเค็มนี้มาแล้วเช่นกัน
“การได้ทำงานนี้มันทำให้เรายังเป็นเด็ก ที่ยังได้มาตามความฝัน ได้มาค้นหาคำตอบที่เรายังสงสัยอยู่ เหมือนเราต้องคอยตามความท้าทายอยู่ตลอด และมันยังคงตื่นเต้นทุกครั้งที่เราขุดกระดูกชิ้นใหม่ขึ้นมา”