อัตราการหย่าร้างของคนวัยเบบี้บูมเมอร์ในจีนเพิ่มสูงขึ้น เมื่อการเลิกรากันไม่ใช่เรื่องน่าอายอีกต่อไป

หนึ่งในค่านิยมความเชื่อที่ฝังรากลึกในสังคมของชาวเอเชีย โดยเฉพาะในสังคมชาวจีน ก็คือการประครองชีวิตคู่แบบยืนยาวจนแก่เฒ่า จะจากลากันก็ต่อเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเดินทางถึงวันสุดท้ายของชีวิต ชีวิตสมรสเช่นนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นแบบอย่างที่ดีของชีวิตคู่ ที่ลูก ๆ หลาน ๆ ควรเอาเป็นแบบอย่าง

ในทางตรงกันข้าม หากชีวิตคู่ล้มเหลว ไม่สามารถไปต่อได้ จนต้องตัดสินใจหย่าร้างสังคมก็จะมองว่าเป็นเรื่องเสียหาย น่าอับอาย

นั่นจึงเป็นผลที่ว่า แม้คู่รักชาวจีนจะต้องเผชิญกับความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ร้าวฉานสักแค่ไหน ทั้งฝ่ายหญิงและชาย ต่างก็จะทนเพื่อรักษาชีวิตคู่นั้นไว้ เพราะเป็นห่วงเรื่องหน้าตาและศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูล  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่สมรสที่อยู่ในเจน “เบบี้บูมเมอร์” หลายคู่แต่งงาน ไม่ได้อยู่ด้วยกันด้วยความรักอีกต่อไป แต่ก็ไม่ยอมแยกทางกัน แม้ว่า ความสัมพันธ์จะแตกร้าว ห่างเหินกันไปแล้ว แต่ต่างฝ่ายก็อดทนเพียงเพราะยึดติดกับค่านิยมเก่า

แต่ในสังคมสมัยใหม่เริ่มเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนขึ้น ของการที่ผู้คนไม่ว่าจะอายุเท่าไรแต่ก็ออกมายืนหยัดความต้องการของตัวเอง ให้ความสำคัญกับคุณภาพทางอารมณ์ของการแต่งงานมากขึ้นเรื่อย ๆ และไม่รักษาความสัมพันธ์ที่ไร้ความรักเพียงเพราะ “รักษาภาพลักษณ์” หรือข้อจำกัดแบบเดิม ๆ อีกต่อไป การหย่าจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการแสวงหาชีวิตที่ดีกว่า

แต่ในสังคมยุคใหม่ ค่านิยมที่ว่านี้กำลังเปลี่ยนแปลงไป

เมื่อชาวจีน ไม่ว่าจะเจนใหม่ หรือเจนเก่า กล้าที่จะลุกขึ้นมาเปิดเผยความต้องการของตัวเองมากขึ้น โดยเฉพาะคู่แต่งงานสูงวัยที่อยู่เป็นคู่ชีวิตกันจนแก่เฒ่า หลายคู่ เริ่มตั้งคำถามถึง “ความหมายของชีวิตคู่” ที่แท้จริง มากกว่าการต้องทนอยู่เพื่อรักษา “ภาพลักษณ์” บนความสัมพันธ์ที่ไร้ความรักอีกต่อไป และมองว่า “การหย่าร้าง” ไม่ใช่เรื่องน่าอับอาย ตรงกันข้ามคือ  “ทางเลือกใหม่” ในการแสวงหาชีวิตที่ดีกว่าในบั้นช่วงปลายชีวิต

ข้อมูลจากศาลหวยโหรวปักกิ่ง : ระบุว่าตั้งแต่ปี 2017 ถึงกรกฎาคม 2021 ศาลหวยโหรวได้รับคดีหย่าร้างใหม่ทั้งหมด 285 คดี ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 57% และในจำนวนนี้ เป็นคู่สมรสสูงวัยมากถึง 14% ของคดีหย่าร้างทั้งหมด

นี่จึงไม่ใช่การหย่าร้างธรรมดา แต่เป็น “สัญญาณ” ที่สังคมต้องหันมามอง ในสังคมจีนเรียกการหย่าร้างของกลุ่มคนวัยหลังเกษียณว่า “การหย่าร้างช่วงพลบค่ำ” (黄昏散) และกำลังเป็นประเด็นที่ได้รับความสนใจจากสังคม รัฐบาลจีนเองก็ปรับตัว เพื่อรับมือกับค่านิยมที่เปลี่ยนไป โดยในปี 2021 มีการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่ง ที่กำหนดให้มี “ระยะเวลาคิดทบทวนก่อนหย่า” 60 วัน เพื่อให้คู่สมรสมีเวลาไตร่ตรองการตัดสินใจอย่างรอบคอบ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่ปิดกั้นสิทธิในการเลือกหย่าของประชาชน

หลายคนอาจสงสัย “วัยคุณตาคุณยายยังตัดสินใจหย่าร้างกันอีกหรือ แล้วอะไรคือเหตุผล ?”

ศาลประชาชนเหิงเชอ อำเภอฉีชุน มณฑลหูเป่ย ประเทศจีนได้เปิดเผยถึงคดีการหย่าร้างของ “ยายหวี๋” และ “ปู่จาง” ในวัย 70 ปี ว่า ทั้งคู่แต่งงานกันแบบถูกคลุมถุงชน มาตั้งแต่ปี 1978 หลังแต่งงานทั้งคู่มีปัญหาความขัดแย้งมาโดยตลอด ยายหวี๋จึงตัดสินใจ ยื่นฟ้องหย่าหลายต่อหลายครั้งแต่ไม่สำเร็จ เพราะลูกชายของทั้งคู่คัดค้าน ผู้พิพากษาจึงร่วมกับผู้ใหญ่บ้านพูดคุยโน้มน้าวและอธิบายข้อกฎหมายแก่ลูกชายของทั้งสองคน โดยชี้ให้เห็นว่าเสรีภาพในการสมรสเป็นสิทธิส่วนบุคคล ผู้สูงอายุก็มีสิทธิเลือกชีวิตของตนเองได้ จนในที่สุดคุณตาคุณยายคู่นี้ ก็ตกลงหย่าขาดกัน และสิ้นสุดความขัดแย้งที่ยืดเยื้อมานานกว่า 30 ปี

อีกกรณีหนึ่ง เกิดขึ้นที่ศาลประชาชนเขตเจียงหลิง เมืองจิงโจว มณฑลหูเป่ย ประเทศจีน เมื่อเดือน มิถุนายนปี  2025

คุณตาไช อายุ 93 ปี จากมณฑลหูเป่ย ฟ้องขอหย่ากับ คุณยายเหย่า วัย 85 ปี ทั้งสองแต่งงานกัน ในช่วงที่ชีวิตเข้าสู่บั้นปลาย เมื่อเวลาผ่านไป สภาพร่างกายของทั้งสองก็เริ่มถดถอย ไม่สามารถดูแลกันและกันได้เหมือนเดิม ทั้งคู่จึงตัดสินใจแยกกันอยู่เป็นเวลา 3 ปี เมื่อความสัมพันธ์ห่างเหิน ทำให้มีปัญหาทะเลาะเบาะแว้งกันบ่อย ๆ  คุณตาเห็นว่าหมดรักแล้วจึงขอฟ้องหย่าจากภรรยา แต่คุณยายปฏิเสธ เพราะคิดว่าการหย่าร้างในช่วงวัยนี้เป็นเรื่องน่าอับอาย สังคมไม่ยอมรับ จนกระทั่งศาลอธิบายว่า “การแต่งงานหรือการหย่าร้างเป็นสิทธิตามกฎหมายของพลเมืองทุกคน ไม่จำกัดด้วยอายุ” สุดท้ายคุณตาไชจึงจ่ายเงินชดเชยให้คุณยายเหย่าเป็นจำนวน 10,000 หยวน และทั้งคู่ก็ได้แยกทางกันอย่างเป็นทางการ

เรื่องราวเหล่านี้ได้ทิ้งข้อคิดสำคัญว่า “ไม่ว่าอายุเท่าไร สิทธิในการเลือกชีวิตที่เหมาะสมกับตัวเองก็ยังเป็นสิ่งสำคัญ” การหย่าร้างไม่ได้จำกัดแค่ช่วงวัยหนุ่มสาวอีกต่อไป  แทนที่จะยึดติดกับค่านิยมเก่า ๆ ที่บอกว่า “อายุไม่น้อยแล้วต้องทน” ในทางกลับกันเราอาจจะต้องทบทวนว่า บางครั้งการแยกทางกันอย่างสันติ อาจเป็น “คำตอบที่ดีกว่า” สำหรับทุกฝ่าย

ในอนาคต เราอาจได้เห็นสังคมที่เปิดกว้างมากขึ้นกับแนวคิดนี้ เมื่อผู้คนยุคก่อนก้าวข้ามความเชื่อแบบเดิม ๆ ที่ยึดติดกับการรักษาหน้าตาและศักดิ์ศรี ไปสู่การกล้าที่จะเลือกชีวิตที่ทำให้พวกเขามี “ความสุขที่แท้จริง” ในบั้นปลายของชีวิต นี่คือการเปลี่ยนแปลงที่น่าจับตาในสังคมสูงวัยจีนและเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับคนทุกเจนเนอเรชันว่า “ชีวิตคือการเลือก และการเลือกที่จะมีความสุข ไม่ควรมีข้อจำกัดเรื่องอายุ”

Credits

Author

  • จริยา โสรีย์

    น้องนักศึกษาฝึกงานจากจีนตัวไม่จิ๋วแต่โจ๊ะ ใฝ่เรียนรู้นอกห้องเรียนเป็นหลัก เรียนในม.เป็นงานอดิเรก

ถึงจะต่างวัยแต่ก็
อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ