“ตอนแรกที่รู้ว่าพ่อป่วยเราก็รับไม่ได้ เพราะเราเคยมีอิสระ แต่พอเราต้องมาดูแลคนป่วยคนหนึ่งตลอด 24 ชั่วโมง มันก็เครียด รู้สึกว่าชีวิตเราหมดแล้ว จบแล้ว แต่พอเรามาคิดว่าคนอีกคนหนึ่งนั้นก็คือพ่อของเราเอง ก็เลยเริ่มคิดว่าอยากทำอะไรเพื่อเขา”
‘หลิน’ สุจรรยา จรัสแนว วัย 47 ปี ลูกสาวครอบครัวงิ้วที่พบกับจุดเปลี่ยนของชีวิตในวันที่ทั้งพ่อและแม่ล้มป่วยเล่าย้อนถึงความรู้สึกในวันที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่ทำให้เธอเสียหลักชีวิตครั้งใหญ่ ถึงแม้ตอนแรกเธอจะตกใจและเครียดมากจนทำอะไรไม่ถูก แต่สุดท้ายเธอก็พบสิ่งที่ช่วยเยียวยาใจของพ่อแม่และตัวเองได้ ด้วยสิ่งที่ทุกคนใกล้ชิดและผูกพันที่สุดอย่าง ‘งิ้ว’ จนเกิดเป็น ‘โรงงิ้วจิ๋ว’ ที่ช่วยให้ทั้งครอบครัวกลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง ต่อยอดกลายเป็นสิ่งที่สร้างรายได้เพื่อใช้ดูแลครอบครัว และได้อนุรักษ์ศิลปะการแสดงอันทรงคุณค่าของลูกหลานชาวไทยเชื้อสายจีนเอาไว้ไปในตัวอีกด้วย
“โรงงิ้วจิ๋วอันแรกที่เราทำให้พ่อ ใช้กระดาษลังมาทำโรงงิ้ว ใช้ผ้ายางที่รองก้นผู้ป่วยมาเป็นหลังคา ใช้กล่องยาห่อด้วยซองอั่งเปามาทำกล่องแต่งหน้า ใช้คลิปหนีบกระดาษมาทำเป็นไม้แขวนเสื้อ และใช้ไม้ตะเกียบเป็นราวแขวนเสื้อผ้า”
ทายาทครอบครัวงิ้ว
“อากงเขาเล่นงิ้วมาก่อน ส่วนแม่ก็เริ่มเล่นงิ้วมาตั้งแต่ 9 ขวบ พ่อเขาก็เป็นคนทำฉากงิ้ว เราก็เลยคลุกคลีกับงิ้วมาตั้งแต่เด็ก ๆ แม่เขาเล่นงิ้วเก่ง เสียงดี ตอนเล่นเป็นตัวร้ายก็เล่นสมบทบาทจนคนดูอินแล้วปารองเท้าขึ้นมาบนเวที
“แม่เขาอยู่ในทีมงานโรงงิ้วเฉลิมราษฎร์ คณะไท้ตง ที่เขาได้ไปเล่นอยู่ช่อง 9 ทั้งชีวิตของแม่เป็นคนเล่นงิ้ว เป็นเลือดงิ้ว เขารักงิ้วมาก ถึงไม่มีคนดู เขาก็จะตั้งใจร้องอย่างดี เพราะเขาถือว่าเขาเล่นให้เจ้าดู เขาซื่อสัตย์ต่อหน้าที่การงานของเขา มันก็เลยทำให้เราผูกพันกับงิ้วไปโดยปริยาย”
จุดเปลี่ยนของชีวิต
“พ่อเริ่มป่วยมาตั้งแต่ปี 2559 ด้วยอาการปัสสาวะไม่ออก แต่ตอนนั้นเราก็ยังไม่รู้ว่าพ่อป่วย แม่ก็ยังไม่รู้ แต่เขาก็กลัวว่าพ่อจะเป็นภาระของลูกก็เลยพาพ่อไปโรงงิ้วด้วย จนกระทั่งวันหนึ่งพ่อเขาปัสสาวะไม่ออกแล้วไปยืนปัสสาวะหน้าบ้านคนอื่น แม่ก็เลยโทรหาเรา เราก็รีบนั่งรถไปหาพ่อกับแม่
“พอไปถึงพ่อเขาเพ้อไปแล้ว พูดไม่เป็นภาษาแล้ว ดึงสายน้ำเกลือเล่น กลายเป็นคนละคนไปเลย เขาติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ ต่อมาก็ติดเชื้อในกระแสเลือด แล้วก็ติดเชื้อในสมอง ตอนนั้นเราเหมือนบ้าไปเลย เล่นลูกบอลกับพ่อแล้วก็ร้องไห้ไปด้วย เราเห็นพ่อเรากลายเป็นแบบนี้ มันเจ็บปวดหัวใจนะ เพราะเราไม่รู้จะสื่อสารกับเขาอย่างไร คิดอะไรไม่ออกอยู่ครึ่งปี เคยคิดจะฆ่าตัวตายด้วยซ้ำ
“ตอนนั้นพ่อนอนติดเตียง พูดไม่รู้เรื่อง ขยับได้แค่คอ ต้องให้อาหารทางสายยาง เราก็ค่อย ๆ ดูแลกันมาเรื่อย ๆ จนพ่อนั่งได้ เดินได้นิดหน่อย คุยพอรู้เรื่อง ผ่านไป 3 ปีเขาถึงเริ่มจำเราได้ เรียกชื่อเราได้”
‘งิ้ว’ ช่วยฮีลใจและต่อชีวิต
“ด้วยความที่พ่อเขาเคยทำฉากงิ้วมาก่อน เราก็เลยอยากให้เขาได้ทำในสิ่งที่คุ้นเคย ก็คือการทำโรงงิ้ว แต่เราไม่สามารถยกเอาโรงงิ้วมาได้ เราก็เลยคิดประดิษฐ์โรงงิ้วจิ๋วขึ้นมา เพื่อให้เขาได้จับเชือก จับไม้ เขาจะได้ทำกายภาพบำบัดและเป็นการฟื้นความทรงจำไปด้วย
“แม่ไม่อยากให้พาพ่อไปอยู่ที่ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ เราก็เลยมีหน้าที่ในการดูแลพ่อเป็นหลัก ส่วนแม่เล่นงิ้วหารายได้ดูแลครอบครัว จนกระทั่งวันหนึ่งแม่ไปเล่นงิ้วอยู่มาเลเซียแล้วล้มในห้องน้ำจนต้องส่งเข้าไอซียู หมอบอกว่าแม่เป็นสโตรก ตั้งแต่นั้นมาพ่อกับแม่ก็ป่วยติดเตียงทั้งคู่เลย เราต้องดูแลพ่อแม่ทั้งวัน 24 ชั่วโมง แทบไม่มีเวลากินข้าว ไม่มีเวลาเข้าห้องน้ำ
“ตอนที่แม่ป่วยหนักต้องอยู่ห้อง ICU 3 เดือน เราพยายามเปิดธรรมะให้เขาดู เขาก็ไม่เคยดู แต่พอเราลองเปิดงิ้วให้แม่ดู แม่เขาก็หันมามองมือถือ เราก็เลยเรียกหมอว่า “คุณหมอดูสิ แม่มองแล้ว” หมอยังบอกว่า “อยู่กันมาตั้งหลายเดือน หมอเรียก ไม่เคยมองหมอเลย” นั่นเลยเป็นเหตุผลที่เราคิดว่างิ้วจะทำให้แม่ค่อย ๆ มีสติมากขึ้น
“เราก็เลยเอางิ้วที่เคยทำให้พ่อมาต่อยอดทำให้มันสวย ๆ เพื่อที่จะให้แม่ได้ดูงิ้วที่ตัวเองเคยแสดงผ่านหน้าโรงงิ้วน้อย ๆ ที่เขาคุ้นตา ค่อย ๆ ใช้เวลาที่เราว่างจากการดูแลพ่อกับแม่มาประดิษฐ์โรงงิ้วจิ๋วจนสำเร็จ จนกระทั่งวันหนึ่งแม่ก็จากไป
“พอแม่เสียเราก็เลยเริ่มคิดว่าจะทำอย่างไรถึงจะดูแลพ่อต่อได้ ก็เลยมาคิดว่า ปกติศาลเจ้าใหญ่ ๆ เขาก็มักจะจ้างงิ้วมาให้เจ้าดู เราก็เลยคิดว่าเจ้าที่ที่บ้านก็มีนะ เราก็ทำโรงงิ้วเล็ก ๆ แล้วเอามาเปิดให้ตี่จู้เอี๊ยะ หรือเปิดให้เจ้าที่ที่บ้านดูได้ เราก็เลยเริ่มต่อยอดจากตรงนี้ว่ามันไม่ใช่ของจิ๋วที่จะเอามาตั้งโชว์เฉย ๆ แต่มันสามารถที่จะทำประโยชน์ได้
“จริง ๆ ตอนที่เริ่มมีคนมาซื้อ เราก็ยังทำได้ไม่สวยเลยนะ แต่มันก็รู้สึกดีว่าเริ่มมีคนเชื่อเราแล้ว ตอนแรกที่เราเริ่มทำ ญาติ ๆ เพื่อน ๆ ที่อยู่รอบตัวไม่มีใครเห็นด้วยเลย บอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ ใครจะมาซื้อ เขาจะซื้อไปทำอะไร ไปทำอาชีพอื่นที่มันไม่ต้องเกี่ยวกับงิ้วดีกว่าไหม แต่เราก็คิดว่าเราทำมาถึงขนาดนี้แล้ว เราทำให้แม่เราดูได้ แล้วทำไมจะทำให้แม่คนอื่นดูไม่ได้”
โรงงิ้วจิ๋วแต่แจ๋ว
“โรงงิ้วของเราจะมีอยู่ 3 แบบ คือ แบบที่หนึ่งแบบกงเต็ก ไหว้แล้วเผาเลย จะใช้วัสดุเป็นกระดาษ เสาไม้ก็เป็นตะเกียบ ถ้าเอาไปไหว้สารทจีน เช็งเม้ง หรือว่างานศพ สามารถที่จะเสียบมือถือเข้าไปเพื่อเปิดงิ้วให้ผู้วายชนม์ดูก่อนได้ แล้วค่อยเอาไปเผาเป็นเหมือนการส่งโรงงิ้วไปให้บรรพบุรุษดู
“แบบที่สองเป็นไม้ไผ่อย่างดี ข้างล่างเป็นผ้า ส่วนหลังคาเป็นผ้าใบ ใช้งานเหมือนแบบแรก แต่ว่าโรงงิ้วแบบนี้สามารถเก็บไว้ได้ เพราะสิ่งที่เราถวายคือการแสดงงิ้วหรือลิเกในมือถือ ใช้ในการถวายเจ้าที่ แต่ว่าคนก็สามารถดูได้ ลูกหลานบางคนก็ซื้อไปให้พ่อแม่หรืออากงอาม่าที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ดู ส่วนแบบที่สามจะมีออปชันมากกว่า คือ สามารถดึงม่านได้ ดึงฉากได้
“ตอนแรกที่ทำโรงงิ้วจิ๋ว เราไม่ได้หวังว่าจะทำเพื่อการอนุรักษ์ เราทำเพื่อพ่อแม่ แต่พอเราทำแล้วมีคนเขาซื้อไปไหว้เจ้า ไหว้บรรพบุรุษ มันก็กลายเป็นการอนุรักษ์ เพราะว่าเด็ก ๆ รุ่นใหม่เขาไม่ได้ดูงิ้ว ไม่รู้จักงิ้ว แต่พออากง อากู๋ เขาซื้อไปไหว้ เขาก็ได้เห็นว่าโรงงิ้วสมัยโบราณหน้าตาเป็นแบบนี้
“ตอนนี้เราทำโรงลิเกจิ๋วด้วย พอตัวลิเกมันเปลี่ยนเป็นโขน เป็นโนราห์ มันก็มีคนทักเข้ามาในเพจ เป็นเจ้าของคณะโขนบ้าง พระเอกโนราห์บ้าง ก็เลยคิดว่า เออ เราก็เหมือนแหล่งรวมวัฒนธรรมไทย-จีนเหมือนกันนะ
“เรารู้สึกภูมิใจ รู้สึกดีว่ามันยังเป็นการรักษาวัฒนธรรม คนที่ซื้อไปเขาก็น่าจะมีความกตัญญู สมมติเขาซื้อไปไหว้เช็งเม้งก็เพราะเขานึกถึงพ่อแม่ นึกถึงบรรพบุรุษ นึกถึงตอนเด็ก ๆ ที่เขาเคยไปดูงิ้วกับอากงอาม่า วันที่คนในครอบครัวเขาจากไปแล้ว เขาก็ยังนึกถึง เอาโรงงิ้วไปให้อากงอาม่าดู”
ชีวิตใหม่ที่ได้เพราะโรงงิ้ว
“เราเคยคิดว่าจะเลิกทำหลายทีแล้ว เพราะต้นทุนมันสูง ใช้เวลาเยอะในการทำ แต่เราไม่ได้ตั้งราคาสูงมาก เพราะว่าเราคิดว่าถ้าเราตั้งราคาสูง คนอาจจะไม่ซื้อก็ได้ ก็เลยตั้งราคาให้ลดลงมาหน่อย คนเขาก็จะได้ซื้อได้ และมันก็จะได้ไปสร้างประโยชน์ต่อ
“การทำโรงงิ้วกลายเป็นรายได้หลักของเราไปแล้ว ทุกวันนี้เริ่มมีคนเข้ามาดูคลิปที่เราทำมากขึ้น บางคลิปก็มีคนดูเป็นแสน ๆ วิว แล้วก็มีคนเข้ามาซื้อ บางคนมาซื้อเอาไปไหว้เช็งเม้ง สารทจีน บางคนซื้อไปไหว้ขอพรในศาลเจ้า บางคนเขาก็ซื้อไปให้อากงอาม่าที่ยังมีชีวิตอยู่ ซื้อไปเปิดให้เจ้าที่ดู มีคนที่ได้โรงงิ้วไปแล้วเขามาบอกว่า ‘ขอบคุณนะที่มอบความสุขให้’ มันก็ทำให้เรามีความสุขไปด้วย”
การทำโรงงิ้วจิ๋วเปลี่ยนชีวิตของหลินให้ดีขึ้น ทำให้เธอได้ทำในสิ่งที่เธอผูกพันและมีความสุข ช่วยสร้างรายได้ที่มั่นคงขึ้น เพื่อนำมาใช้ดูแลพ่อ ถึงแม้ว่ารายได้ที่เข้ามานั้นอาจจะไม่ค่อยเพียงพอที่จะต่อยอดหรือขยายธุรกิจให้เติบโตมากขึ้น แต่การทำโรงงิ้วจิ๋วของผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่มีหัวใจเข้มแข็งอย่างหลินก็ช่วยสร้างรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ และสร้างงานที่มีคุณค่าให้กับผู้สูงอายุอีกหลายชีวิตด้วย
“เวลาทำโรงงิ้ว เราจะซื้อของมาก่อน แล้วก็มาจ้างคนเย็บ คนผลิตชิ้นส่วน คนประกอบ ซึ่งคนเหล่านี้เป็นคนอายุมากทั้งนั้น 70 ปี 80 ปี แล้วเราก็จะบอกเขาว่าขอให้เราขายได้ก่อนนะ แล้วเราค่อยจ่ายคืนให้ จริง ๆ เรายังอยากต่อยอดทำอีกหลายอย่างเลยนะ เช่น ปะรำพิธีกงเต็ก สวดมนต์จีน โรงหนังตะลุง ฯลฯ คิดว่าถ้ามีคนมาสนับสนุนก็คงดี ฝันอยากทำให้มันไปถึงต่างประเทศเลยนะ”
ลมหายใจที่ใช้เพื่อพ่อ
“ทุกวันนี้เราทำงานตั้งแต่ 7 โมงเช้าถึง 5 ทุ่ม ดูแลพ่อ ตอบลูกค้า เตรียมของก็หมดวันแล้ว รายได้ที่ได้มาก็เอามาดูแลพ่อ บางทีมันเหนื่อยมาก ก็รู้สึกว่าอยากนอนดูทีวี จิบน้ำเย็น ๆ แค่นี้ก็พอสุดท้ายความสุขของเราคืออะไรรู้ไหม มันก็แค่ได้เอาเงินไปซื้อมะม่วงที่พ่อเขาชอบกินมากที่สุด แล้วดูเขาก็นั่งกินมะม่วงหวาน ๆ อย่างมีความสุข
“ถ้าพ่อแม่ไม่ป่วย เราก็คงไม่ได้คิดทำโรงงิ้วจิ๋ว เรามีชีวิตอยู่เพื่อคนที่เรารัก คิดแค่ว่าทำอย่างไรก็ได้ให้เขาทรมานน้อยที่สุด แค่พ่อแม่กินอิ่ม นอนหลับ หัวเราะได้ แค่นี้แหละความสุขของเราหลายคนบอกว่าเราเป็นคนกตัญญู แต่เราคิดว่ามันเป็นหน้าที่ปกติ ธรรมดาของลูก เพราะตอนเล็ก ๆ พ่อแม่เขาดูแลเรา จูงมือเรา ป้อนข้าวเรามา พอเขาอายุมากขึ้น เขาป่วย เราก็ดูแลเขา
“ตอนนี้เราอยู่เพื่อพ่อ ลมหายใจนี้เพื่อพ่อ ไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่านี้ มันมีความสุขนะที่ได้ใช้ลมหายใจของเราเพื่อใครสักคนที่เรารัก ให้เขามีความสุขตอนที่เขายังรู้เรื่อง ดีกว่าให้เขาตายไปแล้วเราค่อยไปไหว้”
ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมและสนับสนุนโรงงิ้วจิ๋วได้ที่ คนเล่นงิ้ว