“เราไม่ชอบจริง ๆ เวลาเห็นแม่เหนื่อย เราก็เลยตั้งเป้าว่าจะหาเงินช่วยแม่ให้ได้
“ความสุขของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ความสุขของเราคือครอบครัว บางคนรักตัวเองมาก เขาก็มีแรงจูงใจเป็นตัวเองนั่นแหละ และเขาก็ต้องแบกตัวเองอยู่ดี”
มนุษย์ต่างวัย Talk กับ ประสาน อิงคนันท์ คุยกับ ‘นาโอมิ’ ธนัชภรณ์ นิชิยาม่า คอนเทนต์ครีเอเตอร์ด้านการเงิน กับบทบาทการเริ่มต้นเป็นหัวหน้าครอบครัวตั้งแต่อายุ 25 ที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะความจำเป็น แต่มันคือเป้าหมายของชีวิต ที่เธอมุ่งมั่น ตั้งใจ ที่จะทำให้ได้มาตั้งแต่ชั้นม.ปลาย เพราะอยากดูแลทุกคนที่เธอรักให้ดีที่สุด
แผนการเงินของเธอจึงเริ่มจาก ‘ความรัก’ ก่อน ‘ความรู้’ ที่ค่อย ๆ เติบโตและมั่นคงมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความรักจากทุกคนในครอบครัว
1. เริ่มทันทีจากสิ่งที่ทำได้
พอเริ่มโตขึ้น นาโอมิเห็นแม่ต้องทำงานอยู่คนเดียวเพื่อดูแลคนทั้งบ้าน เธอไม่ชอบที่เห็นแม่เหนื่อย และอยากช่วยแบ่งเบาภาระของแม่ เธอจึงคิดว่าทำอย่างไรก็ได้ให้หาเงินให้ได้เยอะ ๆ ตอนม.ปลาย เธอจึงเริ่มทำงานพาร์ตไทม์ และซื้อสลากออมสินเก็บไว้ เผื่อได้ลุ้นโชคใหญ่ วางแผนเลือกเรียนมหาวิทยาลัยใกล้บ้าน ขอทุน หารายได้เสริมระหว่างเรียนด้วยการรับจ้างทำงานให้เพื่อน ไม่ปาร์ตี้ สังค์สรรค์ เพราะมันต้องใช้เงินเยอะ และรีบเรียนให้จบภายใน 3 ปีครึ่ง เพื่อที่จะได้เริ่มทำงานเร็วขึ้น
2. ตั้งเป้าหมายการเงินตั้งแต่เริ่มต้นทำงาน
เป้าหมายของนาโอมิคือการเป็นหัวหน้าครอบครัว และดูแลทุกคนในบ้านให้ได้ เพื่อให้แม่ได้พักให้เร็วที่สุด พอเริ่มทำงาน มีเงินเดือน จากเงิน 17,000 เธอแบ่งให้แม่ 10,000 เก็บไว้ใช้ 7,000
เป็นค่าที่พัก 4,000 และค่าข้าว ค่าน้ำอีก 3,000 โดยเลือกพักใกล้ที่ทำงาน เพื่อประหยัดค่าเดินทาง และกินไข่พะโล้กับมาม่าสลับกันไปมาในช่วงแรก จากนั้นก็เริ่มวางแผนหางานเสริมที่ทำแบบฟรีแลนซ์ได้ และค่อย ๆ ศึกษาเรื่องการลงทุนเพิ่มเติมเรื่อย ๆ ถ้ามีใครเสนอโอกาสอะไรให้ เธอก็ลองทำหมด
3. อย่าลืมรักษาสมดุลชีวิต
นาโอมิเคยทำงานพร้อมกันถึง 4-5 ที่ เพราะอยากหาเงินให้ได้เยอะ ๆ จนงานเริ่มส่งผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต เธอก็ไม่โอเค คนที่บ้านก็ไม่โอเค เธอจึงตัดงานที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตก่อน และคงไว้ให้เหลือ 3 ที่ เพื่อให้เพียงพอสำหรับการดูแลครอบครัว และให้ตัวเองได้ใช้ชีวิต
4. ทำให้ดีที่สุดในเวลาที่เรายังอยู่ด้วยกัน
นาโอมิบอกว่าในครอบครัวของเธอมีแต่คนอายุมาก ๆ ไม่รู้จะมีเวลาได้อยู่ด้วยกันไปอีกนานเท่าไร และเขาก็ไม่ได้มีเรื่องให้ใช้เงินเยอะ อีกเรื่องคือเธอบอกว่าตัวเองโชคดีมากที่ทุกคนในบ้านไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย ทุกคนพอใจในสิ่งที่มี สิ่งที่ได้รับ รักกัน เกรงใจกัน และไม่ได้อยากเป็นภาระ เธอจึงสามารถประเมินสถานการณ์ได้ว่าต้องจัดการการเงินอย่างไร มีเงินเท่าไร ต้องหาไปอีกนานแค่ไหน เพื่อที่จะสามารถดูแลทุกคนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ และถ้าหากเธอคือคนที่ต้องจากไปก่อน ทุกคนที่เธอรักก็จะมีเงินจากประกันชีวิตที่เธอทำไว้คอยดูแลพวกเขาในวันที่ตัวเองไม่อยู่
5. เตรียมพร้อมทุกอย่างไว้จนถึงวันสุดท้าย
นาโอมิเลือกที่จะสร้างรายได้จากหลาย ๆ ช่องทาง เพื่อกระจายความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น เธอยังคงทำงานเพื่อรักษารายได้ประจำไว้ และแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้สำหรับลงทุนต่าง ๆ เพื่อเกร็งกำไรในระยะสั้น และเป็นแผนชีวิตในระยะยาว เธอทำประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ลงทุน และนำกำไรที่ได้จากการลงทุนเก็บไว้เป็นเงินสำรองในยามฉุกเฉิน และคุยเรื่องแผนค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพกับคนในครอบครัว ตกลงกันว่าถ้าเป็นค่าใช้จ่ายใหญ่ ๆ ให้ใช้สิทธิ์จากรัฐบาลมาช่วย เพราะอายุของทุกคนเกินเกณฑ์ที่จะทำประกันสุขภาพแล้ว นอกจากนี้เธอยังคุยไปถึงการวางแผนเรื่องชีวิตในช่วงท้ายของทุกคนในบ้านว่าอยากจัดงานศพในแบบไหน สเกลไหน ชวนใครมาบ้าง และจะใช้งบประมาณเท่าไร เพื่อให้ทุกคนสบายใจและได้วางแผนร่วมกัน
6. การเงินในบ้านจะเป็นเรื่องง่ายเมื่อทุกคนเข้าใจกัน
นาโอมิบอกว่าที่บ้านไม่เคยเรียกร้องอะไรเลย ไม่เคยตั้งคำถามว่าทำไมชีวิตถึงไม่ดีกว่านี้ ทุกคนพอใจในสิ่งตัวเองมี สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่เรื่องมูลค่าแต่เป็นการได้อยู่ด้วยกัน ทุกคนอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขได้มาตั้งแต่รุ่นยาย รุ่นแม่ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีการจัดการการเงินเลย แต่ทุกอย่างมันก็ออกมาพอดีได้ เพราะมันถูกจัดการด้วย ‘ความรัก’ พอต่างคนต่างไม่เคยเรียกร้องกัน มันก็มีแต่คนอยากจะให้ และพอทุกคนรักกันมาก ก็ไม่กล้าใช้เงินกันแบบฟุ่มเฟือย ไม่รู้คุณค่า เพราะไม่มีใครอยากให้ใครเหนื่อย
7. เป็น ‘เดอะแบก’ ที่มีความสุข
นาโอมิบอกว่าในชีวิตคนเราหนีการเป็น ‘เดอะแบก’ ไม่ได้ อย่างไรมันก็มีเรื่องให้เราต้องแบก อยู่ที่เราจะเลือกแบกอะไร บางคนเลือกแบกพ่อแม่ บางคนเลือกแบกลูก บางคนเลือกแบกตัวเอง ชีวิตคนเราต้องมีแรงจูงใจที่จะผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้า หรืออยากทำอะไร ๆ ให้ดียิ่งขึ้น ความเหนื่อย ความลำบาก ความทุกข์ เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเจอ อยู่ที่ว่าจะเลือกมองมันในมุมไหน มองเป็นเรื่องธรรมชาติ แล้วหาทางอยู่กับมันให้ได้ หรือจะมองให้มันเป็นปัญหา เป็นความย่ำแย่ แล้วใช้ซ้ำเติมตัวเอง