ทันทีที่เกษียณเหมือนนาฬิกาชีวิตหยุดลง เราแทบไม่รู้เลยว่าชีวิตที่เหลืออยู่จะทำอะไร”
มนุษย์ต่างวัยพาไปรู้จักกับ “พี่ณี” ภาระณี วรรธโนทัย อายุ 67 ปี อดีตรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานมาตรฐานท่าอากาศยานและการบิน Working Woman ที่ทุ่มเทให้กับงานและการสร้างความมั่นคงให้ครอบครัว จนไม่มีเวลาสำหรับตัวเอง ไม่มีความสนใจในเรื่องอื่น ไม่มีงานอดิเรก ไม่มีภาพหลังเกษียณที่อยากเป็น
พอเกษียณจากงาน เธอคาดหวังว่าน่าจะสบาย ได้พัก แต่กลับต้องเจอภาวะที่ชีวิตเหมือนถูกปิดสวิตช์ มีเวลาว่างจนไร้ทิศทาง ตั้งคำถามว่าควรจะทำอะไรต่อไป เพื่ออะไร
คำถามเหล่านี้นำไปสู่การค้นพบงานอดิเรกที่เธอสนใจคือ “การถ่ายภาพ” ที่เข้ามาเปลี่ยนทุกอย่าง สลัดคราบผู้บริหารใส่ส้นสูง สู่ช่างภาพหญิงใส่รองเท้าผ้าใบ บุกไปทุกที่เพื่อบันทึกเรื่องราวผ่านเลนส์ กลายเป็นโลกใบใหม่ที่เต็มไปด้วยมิตรภาพ และทำให้กลับมาค้นพบความหมายในชีวิตอีกครั้ง
24 ชั่วโมงของชีวิต คิดเพื่องานและความมั่นคง
“ตำแหน่งสุดท้ายก่อนเกษียณคือ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายงานมาตรฐานท่าอากาศยานและการบิน สำหรับงานผู้บริหารหลายคนอาจจะมองว่าสบาย แต่ในความเป็นจริงเป็นงานที่เครียด แบกความรับผิดชอบสูง ซึ่งสมัยก่อนตอนประเทศไทยเคยถูกองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ประกาศติดธงแดง เพราะมีข้อบกพร่องด้านความปลอดภัยของการบินพลเรือน จึงการเป็นโจทย์หลักในการทำงานที่เราจะพลาดไม่ได้
“ด้วยความที่เราเป็นผู้บริหาร การจะปฏิบัติภารกิจนี้สำเร็จเราจำเป็นต้องเป็นที่พึ่งพาของทีมให้ได้ สมัยทำงานพี่เรียกได้ว่าอุทิศตัวเองให้ได้ ไม่เคยปิดโทรศัพท์ ไม่ว่าจะดึกแค่ไหนถ้ามีสายเข้าเราต้องรับ 24 ชั่วโมงของพี่เรียกได้ว่าเป็นผู้หญิงทำงานเต็มระบบ หรือ Working women ที่ทุ่มเทเวลาให้งาน ความสำเร็จ ความมั่นคง ไม่ได้ดูแลงานบ้าน รายละเอียดในครอบครัว ทำให้ตลอดระยะเวลาในการทำงาน เราแทบไม่ได้นึกถึงเรื่องอื่นเลยนอกจากเรื่องงาน ยิ่งภาพเกษียณในอนาคตตัวเองเรายิ่งไม่เคยวางแผนเพราะพี่เป็นคนไม่มีกิจกรรม ไม่มีงานอดิเเรก และไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร
เกษียณ = ปิดสวิตซ์ชีวิต
“ภาพฝันในวัยเกษียณของพี่ก็คือการอยู่เฉย ๆ โดยไม่ได้ทำอะไร เพราะเราทำงานหนักมาตลอด ถึงเวลาได้พักเสียที สามีเลยต่อห้องด้านหลังบ้านไว้ให้เราได้ใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเกษียณ ซึ่งพี่เป็นคนที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ก่อนเกษียณแล้วว่า พอเกษียณจะวางหัวโขนทุกอย่าง ไม่ยึดในลาภ ยศ บารมีใดๆ และไม่กลับเข้าไปออฟฟิศ เพื่อให้น้องๆรุ่นต่อไปได้บริการงานได้อย่างเต็มที่”
“แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ จากที่โหยหาการได้พัก เราอยู่มันได้แค่ 3 เดือน พี่ดูซีรียส์จนหมดทุกเรื่อง ใช้ชีวิตอยู่กับการดูโทรทัศน์ทั้งวันทั้งคืน จนเริ่มตั้งคำถามกับตัวเองว่าต่อไปนี้ฉันจะมีชีวิตอยู่เพื่อดูซีรียส์และก็หมดวันไปเรื่อย ๆ จริงเหรอ เรารู้สึกว่าตัวเองไม่มีประโยชน์อะไรเลย”
“ความว่างเริ่มกัดกินคุณค่าในชีวิตของเรา จากผู้หญิงทำงาน กลายเป็นผู้หญิงว่าง ว่างจนไม่รู้จะทำอะไร ไม่มีความชอบ ไม่มีความฝัน ไม่มีแรงบันดาลใจ”
การถ่ายภาพ คือคำตอบใหม่ของชีวิต
“ความโชคดีของพี่คือพี่มีเพื่อนที่ดี บังเอิญหลังเกษียณเรามีโอกาสได้ร่วมกลุ่มแก๊งค์ของศิษย์เก่ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รุ่น 35 ซึ่งส่วนใหญ่เกษียณแล้ว และในกลุ่มนี้ก็มีหลายคนเล่นกล้อง พอเพื่อนเห็นว่าพี่ไม่รู้จะทำอะไรหลังเกษียณ ก็เลยชวนมาถ่ายรูปด้วยกัน ตอนนั้นพี่คิดแล้วว่างานบ้านเราก็ไม่ถนัด อาหารก็ไม่ชอบทำ เล่นหุ้นก็รู้สึกว่าไม่ได้ชอบทางนี้ จะทำธุรกิจก็เหลือเงินแค่เงินสุดท้าย ทำให้กล้องกลายเป็นคำตอบเดียวที่เหลืออยู่”
“ตอนนั้นพี่เริ่มต้นความรู้เรื่องกล้องจากศูนย์เลย ไม่รู้จัก ISO ไม่รู้จัก Speed Shutter ไม่รู้จักอะไรเลย แต่ก็คิดว่าถ้าไม่ลองสิ่งนี้เราจะไม่เหลือเป้าหมายอะไรให้ทำแล้ว ก็เลยตัดสินใจว่าจะลองตั้งหลักเรียนรู้เรื่องการถ่ายภาพอย่างจริงจัง ว่าจะสามารถทำได้หรือไม่
จากผู้บริหารใส่ส้นสูง สู่ช่างภาพหญิงบุกป่า ฝ่าดง
“พี่ต้องเริ่มต้นเรียนรู้อย่างจริงจัง ค่อย ๆ นั่งเรียนในช่วงกลางคืนทุกวัน กลายเป็นนกฮูกที่อยู่เฝ้าบ้าน บวกกับมีเพื่อนคอยช่วยสอน ความโชคดีอีกอย่างคือ เพื่อนใจเย็นกับเรามาก ค่อย ๆ สอนไปทีละนิด จากที่ไม่เป็นเลยก็เริ่มมีความเข้าใจมากขึ้น ซึ่งพี่คิดว่ากว่าจะมาถึงจุดที่เรามีงานอดิเรกที่พี่เรียกมันว่าเป็นงานประจำที่ไม่ได้เงิน เราต้องแลกมาด้วยความทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ และท้อไม่ได้ ถ้าท้อก็ต้องกลับไปนั่งดูซีรย์แบบเดิม”
“เพื่อนก็แนะนำว่าต้องไปทริปกับช่างภาพจะทำให้เราพัฒนาได้เร็วพี่ก็ไป จากที่ทำงานใส่สั้นสูงมีมาดผู้บริหารก็ทิ้งทุกอย่าง ใส่ผ้าใบ เดินลุยน้ำทั้ง ๆ ที่กลัวน้ำ ใช้เวลาทั้งวันเพื่อเฝ้ารอการปรากฎตัวของบางสิ่งบางอย่างทั้งต้นไม้ สวัตว์ หรือจังหวะที่แสงเงาสวย บางครั้งต้องตื่นเช้ามาก หรือเดินไกลมากเพียงแค่อยากได้ถ่ายรูปดอกไม้ในป่า”
“การถ่ายภาพบางทีมีแค่เงินอย่างเดียวไม่ได้ สำหรับพี่มันคือความพยายาม อุปกรณ์ราคาแพงถ้ามีเงินเราซื้อได้ แต่ถ้าเราไม่มีฝีมือ ไม่ฝึกฝน ไม่พยายาม การที่จะทำให้เราถ่ายได้ดีก็มีโอกาสน้อย เพราะฉะนั้นการถ่ายภาพสำหรับพี่คือเครื่องหมายของความพยายาม”
“พอเราเริ่มถ่ายได้สิ่งที่รู้สึกเลยก็คือ เราหลงใหลการเดินทาง และเราชอบที่จะอยู่หลังเลนส์ การได้ค่อย ๆ ปราณีตแต่งรูป เรียนรู้ใหม่จากความรู้เป็นศูนย์ การได้รอคอยจังหวะเวลา แสง เพื่อให้ได้ภาพที่ดีที่สุด กลายเป็นเป้าหมายในชีวิตครั้งใหม่ จากคนที่ไม่รู้ว่าชีวิตจะไปต่ออย่างไร กลับเหมือนเจอแสงสว่าง ดังนั้นการถ่ายภาพจึงกลายเป็ยนชีวิตหลังจากนี้ที่เหลือของพี่
ต้องถ่ายภาพให้ได้ดี เหมือนตอนที่ตั้งใจทำงานแล้วประสบความสำเร็จ
“ตอนทำงานเราตั้งเป้าหมายว่าเราอยากทำให้ได้ดี พอมาทำงานอดิเรกเราก็มีเป้านั้นเช่นกัน ซึ่งพี่ไม่ได้อยากแข่งกับใคร สิ่งที่พี่อยากแข่งคือใจตัวเอง เราก็มีโอกาสพิสูจน์ตัวเองด้วยการส่งภาพเข้าไปประดวกในเพจออนไลน์ต่าง ๆ ความตั้งใจคือเพื่อประเมินผลงานตัวเอง ไม่ได้อยากดังหรือยึดติดกับความสำเร็จ อยากได้คำแนะนำและมิตรภาพใหม่ ๆ”
“สิ่งที่เกิดขึ้นคือพี่ส่งภาพนาขั้นบันได เข้าประกวด เป็นภาพที่เราก็ไปกับทริปถ่ายรูปแต่พี่กดในจังหวัดที่แม่กับลูกกับลังจับมือกันและพระอาทิตย์กำลังตกพอดี เลยทำให้ภาพยิ่งสมบูรณ์สุดท้ายทำให้ได้ราวัล Best of the year 2022 จาก World’s Best Photographers & Artists. ซึ่งเป็นอะไรที่พี่ภูมิใจมาก ไม่ได้ภูมิใจในรางวัลว่าเราเก่งกว่าใคร แต่ภูมิใจที่เราพาตัวเองลุกขึ้นมาหากิจกรรมครั้งใหม่หลังเกษียณ และสามารถทำได้ดี
ครอบครัวคือแรงผลักดันที่สำคัญ
“สำหรับพี่ครอบครัวคือแรงผลักดันที่สำคัญที่สุด สามีคือคนที่พาเราออกไปถ่ายภาพ ไกล ใกล้ แค่ไหน ก็พร้อมซัพพอร์ต ซึ่งถ้าไม่มีครอบครัวที่เขาใจ ไม่มีทางที่เราจะสามารถออกไปทำอะไรแบบนี้ได้ โดยเฉพาะเราเป็นผู้หญิง ดังนั้นความฝันหลังเกษียณของพี่และคุณค่าในชีวิตที่กลับมาก็ล้วนมาจากแรงผลักดันของครอบครัว
“สำหรับพี่สิ่งเกษียณไม่ใช่การหยุดนิ่ง แต่คือการที่เรารู้ว่าเราจะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ต่อไปอย่างไร หลังเกษียณต่อให้เรามีเวลาเหลืออยู่แค่หลักวัน หลักเดือน หลักปี มันไม่สำคัญเท่ากับวันที่อยู่เรามีความสุขกับมันมากแค่ไหน
“ชีวิตของพี่ตอนนี้เลยมีกล้อง และการถ่ายภาพเป็นงานประจำครั้งใหม่ ที่ทำให้เราชุบชูหัวใจได้อีกครั้ง ได้เจอทั้งมิตรภาพ ได้เจอทั้งศักยภาพของตัวเองที่ซ่อนอยู่