เวลาที่เราพูดถึงโฮสเทล หลายคนคงนึกถึงห้องนอนรวม ที่มีเตียงสองชั้นคล้าย ๆ ตู้นอนในรถไฟ ที่เข้าถึงง่าย ราคาสบายกระเป๋า ที่เหล่านักเดินทาง หรือคนต่างพื้นที่ มักจะใช้เวลาสั้น ๆ ไม่กี่ชั่วโมง เพื่อเข้านอน ก่อนที่จะออกเดินทางไปทำธุระต่อในตอนเช้า
หลายที่อาจเต็มไปด้วยบรรยากาศของความผ่อนคลาย หรือเสียงพูดคุยแลกเปลี่ยนบทสนทนาอย่างสนุกสนานจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ต่างภาษาที่มาอยู่ร่วมกัน แต่นั่นคงไม่ใช่ภาพที่เราจะเห็นได้บ่อยที่โฮสเทลแห่งนี้
ที่นี่คือ ‘เอกเขนก โฮสเทล’ โฮสเทลเล็ก ๆ ติดถนนใหญ่ ใกล้โรงพยาบาลศิริราช ที่ไม่ได้มีแต่ภาพของรอยยิ้มสดใส หรือเสียงหัวเราะ แต่ที่นี่มีทั้งภาพของความโศกเศร้า เสียใจ น้ำตา ความผิดหวัง หรือแม้กระทั่งการการออกเดินทางไกลที่ไปแบบไม่มีวันกลับของใครบางคน
โฮสเทลเล็ก ๆ แห่งนี้เกิดขึ้นจากความตั้งใจของ ‘น้อย’ วิวัฒน์ รักแต่งาม วัย 61 ปี คุณพ่อที่เคยมาเดินตระเวนหาที่พักตอนมาเฝ้าลูกชายผ่าตัด และได้เห็นบรรยากาศของความแออัด ความไม่สะดวกสบายของหลาย ๆ คนที่ต้องมานอนรอเวลาหาหมอ หรือเยี่ยมญาติ อยู่ใต้ตึกของโรงพยาบาล ก็เลยอยากให้ทุกคนมีที่นอนสบาย ๆ ให้เอนหลังพักกาย-ใจที่เหนื่อยล้า ในราคาย่อมเยา
จุดเริ่มต้นของเอกเขนก
“ผมทำงานโปรดักชัน เขียนหนังสือ ทำรายการโทรทัศน์มาก่อน ส่วนใหญ่จะเป็นงานในเชิงการศึกษา และศิลปวัฒนธรรม เปิดบริษัททำอีเวนต์ ทำอยู่อย่างนั้นประมาณ 10 ปี แต่พอมีสื่อโซเชียลเข้ามา ก็เริ่มคิดว่าถึงเวลาที่เราต้องปรับตัวได้แล้ว ก็เลยอยากทำธุรกิจอีกสักอย่างเพื่อเป็นฐานสำรองให้ตัวเอง
“วันหนึ่งลูกชายผมเกิดอุบัติเหตุจักรยานล้ม ขาหัก ต้องมารักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช ตอนนั้นผมเลยต้องมาอยู่แถวนี้นานเกือบ 20 วัน ก็เลยต้องหาที่พัก ผมเดินหาที่นอนไปเรื่อย ๆ แต่ก็ไม่เจอที่ที่ลงตัว แล้วผมก็มาคิดว่าจริง ๆ เราต้องการใช้เวลาอยู่ในที่พักแค่เวลานอนเท่านั้น เพราะเราต้องไปโรงพยาบาลแต่เช้า กว่าจะกลับก็มืด ผมก็เลยนึกว่าถ้าเราไปหาที่สักที่หนึ่งมาทำที่พักดี ๆ ให้กับคนที่เขามานอนรอญาติอยู่ใต้ตึกโรงพยาบาล ให้เขาได้มีที่นอนสบาย ๆ ที่ราคาไม่แพงมากก็น่าจะดี
“ตอนแรกตั้งใจว่าจะทำสัก 50 เตียง แต่ด้วยกฎหมายของที่พักประเภทโฮสเทลก็เลยทำออกมาได้แค่ 20 เตียงเท่านั้น สุดท้ายที่นี่ก็เลยออกมาเป็นที่พักแบบห้องนอนรวม 2 ห้อง ห้องละ 8 เตียง ห้องนอนเล็ก 1 ห้อง และห้องนอนใหญ่อีก 1 ห้อง”
กว่าจะเข้าที่เข้าทาง
“วันแรกที่เราเปิดไม่มีลูกค้าห้องพักเข้ามาเลย ขายกาแฟได้แค่ 2 แก้ว เราก็เลยทำใบปลิวไปติดตามที่ต่าง ๆ ไปฝากเรื่องไว้กับโรงพยาบาล วัด กองทัพเรือ และแม่ค้าในตลาดวังหลังว่าถ้ามีใครมาถามหาที่พักแถวนี้ บอกให้เขามาที่นี่ได้ เราทำทุกทางที่พอจะทำได้ ใช้เวลาอยู่ประมาณ 3 เดือน กว่าจะมีลูกค้าคนแรกเข้ามา
“ส่วนใหญ่ลูกค้าที่เราเจอจะไม่ใช่คนที่มาเที่ยว แต่เขามาด้วยความเดือดเนื้อร้อนใจ เรามีลูกค้าที่เดินหน้าเศร้าเข้ามา บางคนมาแล้วก็ไม่อยากจะออกไป เพราะไม่อยากไปเจอเรื่องที่รออยู่ข้างหน้า บางคนตอนเช้ามาจองห้องพักไว้ 5 วัน แต่พอตอนค่ำ ๆ กลับจากโรงพยาบาลมาก็บอกว่า ‘ไม่ได้อยู่แล้วนะ เพราะคนที่พามาไม่อยู่แล้ว’
“ลูกค้าบางคนมาอยู่กับเราหลายอาทิตย์ บางคนก็มาอยู่เป็นเดือน เวลาเขากลับจากโรงพยาบาล เขาก็จะมาเล่าให้เราฟังว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ภรรยาอาการเริ่มดีขึ้นแล้ว กินข้าวได้แล้ว พออีกวันเขาก็บอกว่าหมอให้กลับบ้านได้แล้วนะ ฟังแล้วเราก็มีความสุขไปกับเขาด้วย
“ลูกค้าบางคนก็สนิทกันมาก เขามารักษาตัว มาอยู่กับเรานาน เพราะเขามีปัญหาเรื่องเกล็ดเลือด แต่เขาหาเกล็ดเลือดที่ตรงกับตัวเองไม่ได้ ผมก็ชวนคนรอบตัว ชวนแฟนเพจไปบริจาคเกล็ดเลือดให้เขา เวลากลับบ้านไปเขาก็ส่งของมาให้ จำได้ว่าตอนที่เขาเสียแฟนเขาก็เข้ามาร้องไห้กับเรา มากอดเรา บอกว่า ‘ที่กรุงเทพฯ เนี่ย ผมไม่มีใครเลยนะ นอกจากพี่’ ทั้ง ๆ ที่จริงแล้วเขาก็เป็นลูกค้านะ แต่ความรู้สึกที่เขามีกับเรามันมากกว่านั้น
“จริง ๆ แล้วสิ่งที่เราให้เขามันไม่ได้ยิ่งใหญ่ หรือมีมูลค่าอะไรมากมายเลย เราแค่ให้ในจังหวะที่เขากำลังต้องการพอดี เหมือนการให้น้ำสะอาดในวันที่เขาหิวน้ำ หรือยื่นร่มให้ในวันฝนตก ในช่วงหนึ่งก็เหมือนเราได้ร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกัน
“บางครั้งเวลาเรายุ่ง ๆ ลูกค้าที่อยู่มาก่อน ก็จะมาช่วยต้อนรับลูกค้าที่เข้ามาใหม่ ช่วยพาไปดูห้อง แนะนำว่าห้องน้ำอยู่ตรงไหน เหมือนกับเป็นที่พักของเขาเอง พอมันเริ่มจะดีก็มาติดช่วงโควิด-19 แล้วก็ไม่มีคนมาเลย แต่โชคดีที่ตอนนั้นได้งานพิมพ์สติกเกอร์เข้ามาช่วยประคองธุรกิจไว้ให้ยังไปต่อได้ ทุกคนช่วยกันเต็มที่ จนผ่านช่วงนั้นมาได้”
ไม่ใช่แค่ลูกค้าแต่คือเพื่อนและญาติมิตร
“ผมจะบอกน้อง ๆ ทุกคนไว้ว่า คนที่มาพักที่นี่ เราอนุญาตให้เขาเป็นลูกค้าเราได้แค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นเขาต้องมาเป็นเพื่อน เป็นญาติกัน บางคนก็มาพักจนเขารู้สึกว่าที่นี่เป็นบ้านของตัวเอง บางทีไม่มีห้องว่าง ผมก็ไปปูที่นอนให้เขานอนในห้องเก็บอุปกรณ์ เพราะเขาไม่ยอมไปไหน เขาบอกว่านอนที่นี่มันเหมือนนอนบ้านญาติ เขาไม่อยากไปนอนที่อื่น
“ผมเชื่อว่าที่นี่เป็นโฮสเทลที่ได้ของฝากจากลูกค้าเยอะที่สุด บางทีลูกค้ามา ก็หิ้วของฝากมาเต็มไปหมด บางครั้งก็ส่งผลไม้มาเป็นลัง เยอะจนกินไม่หมด บางครั้งก็มีคนส่งสบู่ ผงซักฟอก ยาสีฟัน มีดโกนหนวดมาให้เราไว้ใช้ ส่วนของฝากที่เยอะที่สุดคือขนม
“ที่นี่เป็นที่เดียวนะ ที่ดีใจเวลาลูกค้าเช็กเอาต์ออก แล้วพอเขากลับไป เขาก็จะไปบอกต่อ ไปแนะนำให้คนอื่นมาพักที่นี่ เราเริ่มต้นกันมาด้วยอะไรแบบนี้ จนมันเริ่มอยู่ได้ และมองเห็นทางไปต่อ”
จากพื้นที่แบ่งปันเรื่องราวสู่พื้นที่แบ่งปันน้ำใจ
“ส่วนเรื่องของการทำเพจ จริง ๆ เราก็เปิดเพื่อเป็นช่องทางติดต่อสื่อสาร จองห้องพัก เหมือนกับที่พักอื่น ๆ แต่ด้วยความที่เราเป็นคนที่เขียนหนังสือเป็นอยู่บ้าง ก็เลยลองหยิบเอาเรื่องที่น่าสนใจของคนที่มาพักเล่าลงไปในเพจ จนเริ่มมีสมาชิกประจำ และมีคนติดตามเพิ่มขึ้น เราเล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเรื่อย ๆ จนมันกลายเป็นบุคลิก เป็นธรรมชาติของเราไปแล้ว
“เรื่องทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานความจริง มันมีคนเดินเข้ามาหาเราตลอด ก็เลยทำให้เเรามีเรื่องเล่าเรื่อย ๆ บางครั้งผมก็แค่อยากให้คนเขาเปิดเพจเข้ามาอ่านแล้วได้ยิ้ม หรือรู้สึกอุ่นในหัวใจ เรื่องราวมันอาจจะสนุกบ้าง เศร้าบ้าง ผมจะเขียนเล่าอาทิตย์ละเรื่อง สะสมมาเรื่อย ๆ แต่ทั้งหมดทั้งมวลนั้น ผมทำภายใต้พื้นฐานของการเคารพชีวิต เคารพความเห็นของทุกคน เวลาผมสอนน้อง ๆ หรือสอนลูก ผมจะบอกเขาว่า ทุกคนมีความคิด ความเชื่อเป็นของตัวเองได้ แต่ไม่มีสิทธิ์ไปบอกว่าคนอื่นผิด ถ้าคนเราเคารพตัวเอง เคารพคนอื่น ไม่ว่าสังคมข้างนอกจะเป็นอย่างไร เราก็อยู่ได้หมด
“ส่วนโครงการปันน้ำใจที่เปิดให้คนที่เดือดร้อนได้มาพักฟรีนั้น จริง ๆ เราเริ่มทำมายังไม่ถึงปีเลยนะ และมันก็ไม่ได้เกิดจากตัวผม แต่เกิดจากการที่มีคนที่เขาเดือดร้อนมาที่นี่ แล้วเขาต้องการที่พัก ผมก็เลยให้เขาพักฟรี พอผมเล่าเรื่องนี้ลงไปในเพจ ก็มีคนส่งเงินมาช่วยค่าห้อง จนได้เงินมาจำนวนหนึ่ง แล้วผมก็สมทบเงินตัวเองเข้าไปอีกครึ่งหนึ่ง จากนั้นก็เลยตั้งเป็นโครงการปันน้ำใจขึ้นมา แล้วไปแจ้งคุณหมอ พยาบาล แจ้งแฟนเพจไว้ว่า ถ้าเจอคนไข้ที่เดือดร้อนจริง ๆ ก็บอกให้เขามาพักที่นี่ได้
“พอเขียนเรื่องลงไปอีก ก็มีคนส่งเงินมาให้อีก จนได้เงินรวม ๆ กันประมาณหลักแสน ซึ่งเป็นจำนวนที่เยอะมาก ผมก็เลยปิดรับ แต่พอเราปิดรับ ก็ยิ่งมีคนอยากให้มากขึ้น บางคนมีเลขบัญชีเราอยู่แล้ว เขาก็แอบโอนมาให้
“วันหนึ่งเรื่องราวที่ผมทำมันบังเอิญได้ยินไปถึงมูลนิธิเครือข่ายพุทธิกา ซึ่งเขาทำโครงการปันกันอิ่มอยู่แล้ว เขาก็เลยอยากเข้ามาร่วมโครงการกับเราด้วย ด้วยการสมทบค่าอาหารให้กับคนที่เข้าพักในโครงการปันน้ำใจ จากนั้นก็เลยกลายเป็นโครงการปันกันอิ่มและปันน้ำใจมารวมกัน คนเราพอได้กินอิ่ม นอนสบาย มันก็ช่วยให้เขาพอมีแรงออกไปสู้รบปรบมือกับปัญหาของตัวเองต่อได้
“สำหรับคุณสมบัติของคนที่จะเข้าพักในโครงการปันน้ำใจมีอยู่ 2 ข้อ คือ ขาดแคลนทุนทรัพย์ และมาเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งหลักฐานยืนยันตรงนี้สามารถแนบเป็นเอกสารง่าย ๆ จากทางโรงพยาบาล เช่น ใบนัด หรือกระดาษโน้ตเล็ก ๆ จากเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็ได้”
ตั้งแต่เริ่มโครงการ ฯ จนถึงวันนี้ ‘ปันน้ำใจ’ สามารถช่วยให้ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยที่มารักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช ที่เดือดร้อน หรือต้องการความช่วยเหลือ ได้มีที่พักกาย-ใจดี ๆ ในช่วงเวลาที่ยากลำบากของชีวิตมาแล้วกว่า 600 คน
ให้โดยไม่ต้องคาดหวัง
“ตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดว่าเอกเขนกจะเป็นแบบนี้ ผมแค่ทำธุรกิจเหมือนคนทั่วไป ด้วยความรู้สึกว่าอยากให้คนมาพักได้สบายขึ้น แต่ถ้าจะให้ผมทำธุรกิจเพื่อเอาเงินอย่างเดียว ผมก็ไม่อยากทำแบบนั้น ผมแค่เริ่มต้นทำอะไรเล็ก ๆ ด้วยความอยากทำของตัวเอง ซึ่งถ้าเราทำอยู่คนเดียวมันก็ได้นิดหน่อย แต่พอนิดหน่อยของหลายคนมารวมกันมันก็เลยเยอะขึ้น
“ผมมีกติกาในการให้อยู่อย่างหนึ่งว่า ‘ถ้าให้แล้วอย่ากังขา’ เราแค่ให้ บางครั้งเราไม่ได้สนใจด้วยซ้ำว่าเขาจะเอาไปใช้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหน ผมเคยช่วยเด็กไปคนหนึ่ง ทุกวันนี้เขาก็ไปช่วยคนอื่นต่อ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่น่าชื่นใจ กติกาตรงนี้ ผมจะบอกทุกคนที่เข้ามาร่วมโครงการฯ กับผมไว้ จริง ๆ แล้วสิ่งที่เราให้มันก็ไม่ได้มากมาย เราเป็นแค่ส่วนเล็ก ๆ ของสังคมเท่านั้น แต่อย่างน้อยสิ่งที่เราทำ ก็ช่วยให้คนที่เขาเดือดร้อนได้มีที่หลับที่นอน จะช่วยได้มาก ได้น้อย มันก็ดีกว่าเราไม่ได้ช่วย ผมว่าสังคมที่คนปฏิเสธการช่วยเหลือกันทั้งที่ทำได้มันไม่น่าอยู่
“ส่วนในแง่ของธุรกิจ ก็ต้องบอกว่าที่เอกเขนกโฮสเทลอยู่รอดมาได้จนถึงวันนี้ เพราะเรามีธุรกิจโรงพิมพ์ช่วยประคองไว้ การตั้งราคาห้องของเอกเขนกมันไม่สอดคล้องกับภาระค่าใช้จ่ายจริงอยู่แล้ว ถามว่าอยู่ได้ไหม มันก็อยู่ได้ตามสภาวะของมัน แต่มันไม่เหลือพอที่จะเอามาปรับปรุง พัฒนาอะไรต่อ หรือพอที่จะทำให้น้อง ๆ ที่ทำงานด้วยกันเติบโตได้
“เราต้องยอมรับว่าที่นี่มันไม่ได้เป็นธุรกิจที่ทำแล้วได้กำไรมากมาย ใช้ใจเยอะ แต่ทำแล้วเรามีความสุขกับมันจริง ๆ ผมไม่คิดว่าจะทำอะไรให้มันใหญ่โต คงทำเท่าเราไหว และมีความสุขกับมัน พัฒนาไปเรื่อย ๆ ตามจังหวะและโอกาส เคยมีคนอยากให้ผมไปเปิดโฮสเทลแบบนี้ใกล้โรงพยาบาลอื่น ๆ บ้าง ซึ่งผมก็อยากให้มันเกิดขึ้นเหมือนกัน แต่ถ้าจะให้เข้าไปทำเอง ผมคงทำไม่ไหว”
ให้หัวใจได้เอกเขนก
“ทุกวันนี้เอกเขนกเป็นเหมือนตัวผมไปแล้ว บางคนเขาก็เรียกผมว่า ‘พี่เอก’ และหลาย ๆ คนก็บอกว่าที่นี่ว่าเป็นเหมือนบ้านหลังที่ 2 ของเขา ที่อยู่ในกรุงเทพฯ เคยมีลูกค้าชาวต่างชาติหลายคนถามผมเหมือนกันว่า ‘เอกเขนก’ แปลว่าอะไร จริง ๆ มันก็เริ่มจากความรู้สึกของผมที่อยากให้คนที่มาโรงพยาบาลได้มีที่นอนสบาย ๆ ได้เอกเขนก หลบหนีจากปัญหา ความวุ่นวายสักพัก มีมุมบางมุมที่ทำให้เขาได้ผ่อนคลายบ้างสักช่วงหนึ่งของวัน
“ตลอดระยะเวลา 8 ปี ที่ได้ทำเอกเขนก โฮสเทล สิ่งหนึ่งที่ผมได้เรียนรู้ ก็คือ เรื่องสิทธิ์ของผู้รับ ผมรู้สึกว่าผมชอบตัวเองในแง่ของการเป็นผู้ให้มากขึ้น ผมเคยผิดใจกับความรู้สึกตัวเองนะ บางคนเดินเข้ามาที่นี่ มาเห็นห้องพัก แล้วไม่โอเคที่จะต้องมานอนรวมกับคนอื่น เขาถามเราว่าทำไมเราไม่ทำเป็นห้องเดี่ยว ทั้ง ๆ ที่เขามาขอพักแบบไม่เสียค่าใช้จ่าย
“หลายคนอาจจะมองว่าจุกจิก เรื่องมาก แต่พอได้ยินแบบนั้นผมเรียกประชุมทีมทำงานเลยว่า การที่เราให้ เรามีสิทธิ์เลือกที่จะให้ คนรับเขาก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกรับนะ ทุกคนมีสิทธิ์ของตัวเอง ไม่ใช่ว่าพอเขาเป็นคนรับ เราให้อะไรไปเขาก็ต้องเอา เขามีสิทธิ์ที่จะรับหรือไม่รับก็ได้
“เราเองนั่นแหละที่ไปรู้สึกว่าพอให้แล้วตัวเองใหญ่โต ถ้าเขาเลือกที่จะไม่รับ เราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไม่พอใจนะ เราต้องให้เขาด้วยความเคารพ และให้โดยไม่ต้องคาดหวัง อย่าไปคิดว่าเราให้แล้วเขาจะต้องดีขึ้น ให้แล้วจบ แค่เราทำแล้วมีความสุขก็พอ และสิ่งสำคัญที่สุดคือเราต้องปฏิบัติกับลูกค้าทุกคนให้เท่าเทียมกันทุกอย่าง ทั้งคนที่เสียเงินให้เรา และคนที่มาเข้าพักในโครงการฯ
“ผมไม่เคยเสียใจเลยที่เปิดที่นี่ขึ้นมา ความรู้สึกภูมิใจ ดีใจ ที่เราได้รับมาจากลูกค้า การที่อยู่ดี ๆ ก็มีคนส่งของมาให้ ผมได้ญาติ ได้เพื่อน ได้พี่น้อง ได้รู้จักลูกค้าหลาย ๆ คนที่น่ารักจากการทำที่นี่ ที่ที่ทำให้ผมได้เจอกับผู้คน และทำให้ผมรู้สึกว่าสุดท้ายสิ่งที่มีค่าที่สุดในโลกนี้ก็คือ ‘คน’ ทุกคนมีคุณค่าในแบบของตัวเองที่จะส่งต่อให้คนอื่นได้ การได้เห็นคนมากมายเลือกที่จะส่งต่อคุณค่าในแบบของตัวเอง อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้สึกว่าโลกใบนี้มันน่าอยู่”