“ตอนเด็ก ๆ เบลเป็นลูกที่ดื้อที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด เบลไม่ค่อยบอกรักพ่อ ไม่ค่อยกอดพ่อ ทั้งที่เรารักเขามาก ๆ เหมือนเราคิดว่าเขาจะอยู่กับเราตลอดไป พอได้โอกาสกลับมาดูแลคุณพ่อ เบลก็เลยสัญญากับเขาว่าจะดูแลเขาให้ดีที่สุด จะทำให้คุณพ่อเป็นคนป่วยที่ไม่เหมือนคนป่วย”
วันพ่อปีนี้มนุษย์ต่างวัยคุยกับ ‘เบล’ นัยนา สุขเจริญ วัย 32 ปี ลูกสาวคนเล็กของบ้านที่ทำหน้าที่เป็นแคร์กิฟเวอร์เต็มเวลาเพื่อดูแลพ่อที่ป่วยเป็นสโตรก และมักจะบอกเสมอว่าตัวเองเป็นลูกคนเล็กที่ว่างงานและมีความสุขที่สุดในโลก เธอทำช่องติ๊กต็อกชื่อว่า ‘im_bella11’ ถ่ายทอดเรื่องราวการดูแลพ่อ รวมทั้งแนะนำเคล็ดลับที่เป็นประโยชน์ในฐานะผู้มีประสบการณ์การดูแลผู้ป่วยติดเตียง
ด้วยภาพของรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า และเสียงเรียก ‘เยาะจ๋า’ ของลูกสาว ที่เป็นเหมือนยาบำรุงหัวใจที่เติมพลังให้พ่อ ทำให้หลายคนที่ได้เห็นเรื่องราวนี้อดยิ้มตามไม่ได้ และกลายเป็นเอฟซีประจำช่อง เพราะอยากเข้ามารับพลังงานดี ๆ จากความรัก ความอบอุ่นของครอบครัวนี้ รวมทั้งส่งกำลังใจให้เธอและคุณพ่อ
วันที่ชีวิตเปลี่ยน
“ตอนนั้นเบลไม่รู้จักสโตรกเลยด้วยซ้ำ เบลไม่รู้ว่าพ่อเป็นอะไร พอไปโรงพยาบาล หมอก็บอกว่าคุณพ่อเป็นเส้นเลือดในสมองแตกบริเวณก้านสมอง ซึ่งมันเป็นจุดที่อันตรายมาก คุณพ่ออาจจะไม่รอด พอได้ยินแบบนั้นทุกอย่างมันว่างเปล่าไปเลย เหมือนเราอยู่ในห้องมืด ๆ แคบ ๆ มองอะไรไม่เห็นสักอย่าง
“หมอบอกว่าให้รอดูอาการก่อนว่าภายใน 3 วัน คุณพ่อจะรอดไหม แล้วหมอก็บอกว่าคุณพ่อต้องผ่าตัดนะ แต่มันก็มีความเสี่ยงเพราะคุณพ่ออายุเยอะแล้ว เบลก็เลยบอกคุณหมอว่าทำได้เลย หลังจากนั้นไม่ถึง 2 วัน คุณพ่อก็ฟื้น และลืมตาขึ้นมา ซึ่งมันถือเป็นนิมิตหมายที่ดีมากสำหรับเรา
“พอผ่านช่วง 3 วันไปคุณหมอก็ขอเพิ่มระยะเวลาดูอาการคุณพ่อออกไปอีก จาก 3 วัน เป็น 7 วัน แล้วเป็น 14 วัน ตอนนั้นครอบครัวเราแทบจะกินนอนอยู่หน้าห้อง ICU เลย สุดท้ายหมอก็บอกว่าคุณพ่อรอดแล้ว ตอนที่คุณพ่อลืมตาครั้งแรก เบลก็รีบไปกอด ไปบอกรักคุณพ่อ บอกว่า ‘เยาะจ๋า หนูรักเยาะนะ หนูขอโทษที่หนูดื้อ หนูขอโทษจริง ๆ หนูรักเยาะมาก เรามาสู้ไปด้วยกันนะ’”
ทำทุกอย่างให้ดีที่สุด
“ก่อนหน้านี้เบลทำงานมาร์เก็ตติ้ง เป็นพิธีกร MC เบลไม่เคยมีความรู้เรื่องการดูแลผู้ป่วยติดเตียงมาก่อนเลย ทุกอย่างเป็นศูนย์ แค่คำว่า ‘suction’ หรือ ‘การดูดเสมหะ’ ก็ยังไม่รู้จัก ตอนที่คุณพ่อจะออกจากโรงพยาบาล ที่บ้านก็เลยปรึกษากันว่าเราพาคุณพ่อไปอยู่ศูนย์ดูแลฯ ดีไหม แต่พอไปถามคุณพ่อ เขาก็กระพริบตาส่งสัญญาณบอกเราว่าเขาไม่อยากไป เราก็เลยบอกว่าถ้าพ่ออยากอยู่บ้าน เราจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุด
“ตอนนั้นพี่สาวก็มาจากต่างจังหวัดเลย เพื่อมาเตรียมของสำหรับดูแลคุณพ่อ เราทำห้องปลอดเชื้อสำหรับผู้ป่วย ซื้อผ้าอ้อมผู้ใหญ่ อาหารผู้ป่วย ฯลฯ ตอนนั้นเบลก็หยุดทำงาน มาดูแลคุณพ่อเลย ช่วงแรก ๆ เบลกดดันมาก ร้องไห้บ่อยมาก เพราะคุณพ่อหายใจเองไม่ได้เลย ต้องเจาะคอ และใส่ออกซิเจนตลอดเวลา เบลกับพี่สาวก็นอนไม่ได้ ต้องตื่นมาดูคุณพ่อตลอด เพราะถ้าเราปล่อยให้เขาออกซิเจนตกขณะที่เราหลับ เขาจะเป็นอันตรายถึงชีวิต เราทำแบบนั้นอยู่ประมาณ 3 เดือน แต่สิ่งที่เบลกังวลที่สุด คือ การ suction ที่ต้องสะอาดมาก ๆ เพราะถ้าไม่สะอาด จะทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อที่ปอดได้ เบลก็ฝึกไปพร้อม ๆ กับการดูแลคุณพ่อ มันเลยเป็นความกดดัน และความกลัวว่าคุณพ่อจะติดเชื้อเพราะเรา แต่สุดท้ายเราก็ทำได้
“เป้าหมายของเบลคืออยากให้คุณพ่อหายใจเองได้ เพราะถ้าเขาหายใจเองไม่ได้ ก็จะต้องเจาะคอ และใส่ออกซิเจนไปตลอดชีวิต เบลก็เลยให้นักกายภาพมาช่วยสอนวิธีการหายใจที่ถูกต้องให้พ่อ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยติดเตียงจะนอนราบ แต่ถ้านอนราบตลอดเวลาก็จะทำให้ปอดแฟบ เบลก็เลยต้องให้คุณพ่อนั่งบ้าง เพื่อให้ปอดเขาทำงานได้ดี คุณพ่อฝึกหายใจอยู่แบบนั้นประมาณ 2 เดือนกว่า จนสุดท้ายเขาก็สามารถหายใจเองได้”
‘กำลังใจ’ คือ สิ่งทำให้ยังไหวแม้ ‘กายป่วย’
“คุณพ่อเป็นผู้ชายอบอุ่นมาก ๆ เขาเป็น family man รักครอบครัว แล้วเขาก็สอนให้เรารักกัน เมื่อก่อนคุณพ่อจะเป็นคนไปส่งเราที่โรงเรียนทุกวัน แม้แต่ตอนที่เราโตแล้ว เราก็ยังเป็นเด็กในสายตาเขาอยู่ดี ถ้าวันไหนเบลป่วย แล้วสามีไม่อยู่ คุณพ่อจะเป็นคนแรกที่ขับรถมาหา เพื่อพาเราไปโรงพยาบาล และจะเฝ้าอยู่อย่างนั้นจนกว่าจะมั่นใจว่าเราปลอดภัย
“พอเขาต้องมาเป็นผู้ป่วยติดเตียง สภาพจิตใจเขาเลยแย่มาก ช่วงแรก ๆ เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ ไม่อยากเป็นภาระของลูก เขาไม่ยอมทำกายภาพเลยด้วยซ้ำ เพราะเขาเคยเดินได้ ไปห้องน้ำเองได้ ทำทุกอย่างเองได้เหมือนกับเรา แต่วันหนึ่งต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียง ต้องอยู่ตรงนั้นโดยที่ไม่รู้เลยว่าจะหายเมื่อไร เขาก็เลยรู้สึกหดหู่
“สิ่งที่เราทำได้คือให้กำลังใจเขามาก ๆ ทำให้เขากลับมารู้สึกว่าเขายังเป็น ‘พ่อ’ นะ ไม่ได้เป็นแค่ ‘ผู้ป่วยติดเตียง’ ทำทุกอย่างปกติ ชวนคุย เล่นกับเขา หาอะไรที่เขาชอบมาให้เขาทำ และให้ความหวังที่เป็นจริงได้กับเขา ทุกอย่างที่เป็นพลังบวก เบลใส่ให้คุณพ่อหมดเลย
“อย่างการที่เบลแชร์เรื่องราวของคุณพ่อลงติ๊กต็อก ก็จะมีคนมาคอมเมนต์ว่า เขาเคยเป็นสโตรกนะ แต่พอครบ 3 ปี เขาก็กลับมาเดินได้ ขับรถได้ เบลก็จะเอามาเล่าให้คุณพ่อฟัง พอเขาได้ยินเขาก็จะมีความหวังว่าเขาก็จะหายได้เหมือนกัน พอมีความหวัง เขาก็มีแรงที่จะสู้ และทำให้เขารู้สึกว่าเขาไม่ได้เป็นแค่ผู้ป่วย แต่เป็นพ่อที่ทุกคนรัก และเขาก็รักทุกคนเช่นกัน”
พ่อยังเป็น ‘ความรัก’ เสมอ
“เบลว่าความฝันในชีวิตคนเรามันเปลี่ยนได้ตลอดนะ เคยมีคนถามเบลว่า ณ วันนี้ที่ความฝันเราเปลี่ยนไปแล้ว เรารู้สึกแย่ไหม เราก็กลับมาคิดว่าก่อนหน้านี้เราอาจจะฝันว่าอยากหาเงินให้ได้เยอะ ๆ เพื่อพาคุณพ่อคุณแม่ พาครอบครัวไปเที่ยว แต่พอมาวันนี้ความฝันของเบลเปลี่ยนไปแล้ว มันไม่ใช่การหาเงิน แต่มันคือการทำให้คุณพ่อดีขึ้นในทุก ๆ วัน ทำให้คนรอบตัวเรามีความสุข พอเขายิ้ม เขามีความสุขจากสิ่งที่เราทำให้ มันก็ทำให้เรามีความสุขไปด้วย
“เวลาที่เราดูแลผู้ป่วย ความรู้สึกท้อ รู้สึกเหนื่อย รู้สึกล้า เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นกับทุกคน เราก็แค่กลับมาจัดการกับอารมณ์ของตัวเองให้ดี เบลจะไม่เอาความเหนื่อยไปลงกับคุณพ่อ เพราะแค่เขาป่วย มันก็แย่พออยู่แล้ว ทำไมเราจะต้องทำให้เขารู้สึกแย่ลงไปอีก
“เบลไม่ได้มองว่าการมาดูแลพ่อเป็นการสูญเสียโอกาส เพราะการที่เรายังมีคุณพ่ออยู่คือโอกาสที่ดีมาก ๆ ในการดูแลเขา ในการได้เห็นรอยยิ้มของเขา ความทรงจำของเราจะเป็นแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำในวันนี้ การได้ดูแลคุณพ่อ ดูแลคุณแม่เป็นความฝันที่ยิ่งใหญ่สำหรับเบล
“ทุกอย่างอยู่ที่มุมมองของเรา ถ้าวันนี้เบลมองว่าคุณพ่อที่ป่วยติดเตียงเป็น ‘ภาระ’ ท่านก็จะเป็นแค่ภาระ แต่เมื่อไรก็ตามที่เรามองว่าท่านคือ ‘ความรัก’ ท่านก็คือความรัก มันขึ้นอยู่กับว่าเราคิดอย่างไรกับผู้ป่วยคนนี้ สำหรับเบลพ่อก็ยังคงเป็นพ่อของเบลเสมอ เขาเป็น ‘พ่อที่ป่วย’ ไม่ได้เป็นแค่ ‘ผู้ป่วยติดเตียง’
“เราไม่รู้หรอกว่าวันพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่เบลจะทำวันนี้ให้ดีที่สุด ทำอะไรก็ได้ให้เขายิ้ม ทำอะไรก็ได้ให้เขามีความสุข ไม่ใช่แค่เฉพาะกับคนป่วยนะ เพราะชีวิตคนเราสามารถที่จะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ สิ่งที่เราทำได้เลยโดยไม่ต้องรอ คือ การทำให้คนที่เรารักมีความสุขในทุก ๆ วัน”


























