จากจำนวนประชากรไทยทั้งหมดที่มีอายุเกิน 60 ปี คนที่มีเงินออมเพียงพอที่จะสามารถดูแลตัวเองได้ มีจำนวนไม่ถึง 1 ใน 3 หลายคนเกษียณจากงานโดยไม่มีเงินเก็บและถึงแม้ว่าจะมีสวัสดิการจากการเกษียณอายุ เช่นเงินบำนาญ หรือเงินประกันสังคมก็ไม่เพียงพอต่อการดูแลคุณภาพชีวิตของตัวเองอยู่ดี
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือ กสม. จึงได้เข้ามาทำหน้าที่ในการเชื่อมโยงการทำงานของหน่วยงานต่าง ๆ ในการพูดคุย หารือ และวางแนวทางที่จะสนับสนุนและเสนอนโยบายต่าง ๆ ในการสร้าง ‘หลักประกันรายได้’ ให้กับผู้สูงอายุ และทำให้พวกเขาสามารถดูแลคุณภาพชีวิตและมาตรฐานการครองชีพของตัวเองได้อย่างมั่นคงมากขึ้น
ในวันที่โลกเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว อัตราการเกิดน้อยลง และจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ประเด็นนี้จึงเป็นประเด็นสำคัญที่คนไทยทุกคนกำลังตั้งความหวังและจับตามองความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นไปพร้อม ๆ กัน
มนุษย์ต่างวัย คุยกับ คุณวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติและคุณหรรษา หอมหวล เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ถึงบทบาทในการทำงานของกสม. เพื่อส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในด้านต่าง ๆ ของผู้สูงอายุโดยเฉพาะเรื่องของการสร้าง ‘หลักประกันรายได้’ และการ ‘ขยายอายุการทำงาน’ ให้ยาวนานขึ้น รวมทั้งการผลักดันให้เกิดอนุสัญญาคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุในระดับนานาชาติ เพื่อสร้างมาตรฐานการดูแลสิทธิมนุษยชนของผู้สูงอายุให้ชัดเจนและมีคุณภาพไม่แตกต่างกัน
สร้างสิทธิที่มั่นคงเพื่อคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุ
“เวลาเราพูดถึงสิทธิมนุษยชน ‘ผู้สูงอายุ’ ก็ถือเป็นคนกลุ่มหนึ่งที่ต้องได้รับการคุ้มครองและส่งเสริมทางด้านสิทธิ ซึ่งช่วงที่ผ่านมามีความท้าทายหลายอย่างที่ทำให้การดูแลเรื่องสิทธิของผู้สูงอายุยังมีช่องว่าง และไม่สมบูรณ์เท่าที่ควรจะเป็น” คุณวสันต์เล่าถึงที่มาของการขับเคลื่อนงานต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนให้เกิดการคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)
“เรื่องสิทธิของผู้สูงอายุนั้นมีประเด็นต่าง ๆ มากมายที่เราควรให้ความสำคัญ ทั้งในแง่ของสิทธิพลเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ฯลฯ แต่ประเด็นสำคัญเรื่องหนึ่งที่ควรรีบดำเนินการ ก็คือเรื่องของ ‘รายได้’ เพราะการที่ผู้สูงอายุมีรายได้ จะทำให้เขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีอิสระ ไม่ต้องพึ่งพิงคนอื่น หรือพึ่งพาความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่าง ๆ เกินความจำเป็น
“ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้สูงอายุไม่สามารถเข้าถึงรายได้ได้อย่างเหมาะสมก็คือ ‘การกำหนดช่วงอายุเกษียณ’ เมื่อเรามีอายุครบ 60 ปี ก็จะรู้สึกว่าตัวเองไปต่อไม่ได้ หลายองค์กรก็ยุติการจ้างงานต่อ ทั้ง ๆ ที่คนวัย 60 ปี หลายคนยังคงแข็งแรง มีศักยภาพเพียงพอ สามารถทำงานได้ แต่พอมีการขีดเส้นเกษียณไว้ที่อายุ 60 กลับเหมือนการสะกดตัวเองว่าอายุ 60 แล้ว หยุดทำงานได้แล้ว และนำไปสู่ปัญหาการเลือกปฏิบัติเพราะความต่างทางช่วงวัยหรือการเหยียดอายุขึ้นทั้ง ๆ ที่บริบทต่าง ๆ ทางสังคมทุกวันนี้เปลี่ยนไปมากแล้ว
“การขยายอายุเกษียณจาก 55 ปี เป็น 60 ปี ถูกกำหนดไว้เป็นเวลานานกว่า 70 ปีแล้ว ตั้งแต่วันที่อายุขัยโดยเฉลี่ยของคนไทยอยู่ที่ 45 ปีจนทุกวันนี้อายุขัยเฉลี่ยของคนไทยเพิ่มขึ้นเป็น 77 ปีแล้ว แต่อายุเกษียณก็ยังคงอยู่เท่าเดิม
“เวลาที่เราพูดถึงสิทธิผู้สูงอายุ เราไม่ได้หมายความถึงแค่คนสูงอายุเท่านั้น แต่เรามองภาพรวมทั้งสังคม เพราะการที่เราจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีในวันที่เราอายุมากขึ้นได้นั้นเราต้องวางแผนไว้ล่วงหน้า เพื่อให้พร้อมสำหรับชีวิตในวัยเกษียณ ทุกวันนี้อายุการทำงานโดยเฉลี่ยของคนเราอยู่ที่ 35-40 ปี ถ้าเราจะมีอายุยืนยาวไปจนถึง 77 ปี ตอนที่เรายังทำงานอยู่ เราก็ต้องทำเผื่อช่วงเวลา 17 ปีที่เราไม่ได้ทำงานด้วย
“กสม.จึงได้เริ่มต้นขับเคลื่อนงานต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีตามสิทธิที่ผู้สูงอายุควรจะได้รับซึ่งประกอบไปด้วยประเด็นสำคัญ 2 เรื่อง คือ
- Aging in Place
ผู้สูงอายุไม่ควรใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวตามลำพัง หรือต้องไปใช้ชีวิตบั้นปลายอยู่ในสถานสงเคราะห์ แต่ควรได้ใช้ชีวิตอยู่ในชุมชน มีคนคอยดูแลช่วยเหลือด้วยความห่วงใย เอาใจใส่ ด้วยพื้นฐานของสังคมไทยเป็นสังคมที่มีความอบอุ่น ผู้คนยังมีความใกล้ชิดกันอยู่ โดยเฉพาะในชุมชนนอกเขตเมือง หรือตามต่างจังหวัด ดังนั้น การใช้ฐานชุมชน ให้คนในชุมชนคอยดูแล เกื้อกูลผู้สูงอายุ ก็จะทำให้เกิดสัมพันธภาพที่ดี ทำให้ผู้สูงอายุไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ไร้ค่า มีชีวิตชีวา และยังทำประโยชน์ต่าง ๆ ให้กับสังคมได้
- หลักประกันรายได้
การที่ผู้สูงอายุมีรายได้ จะทำให้พวกเขามีคุณภาพชีวิตที่ดีตามมาด้วย ผู้สูงอายุจะใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณค่า สามารถใช้ศักยภาพที่มีอยู่ดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งพาคนอื่นโดยไม่จำเป็น และจะทำให้ผู้สูงอายุไม่จำเป็นต้องพึ่งพาต้นทุนเดิมที่ตัวเองมีอยู่ หรือชะลอการใช้ต้นทุนเดิมออกไปได้ด้วย
60 แล้วไง? ไปต่อ…
เมื่อโลกเปลี่ยน สังคมเปลี่ยน เราอาจจะมีความจำเป็นต้องทำงานกันนานขึ้น แม้ในบางครั้ง เราจะไม่อยากทำก็ตาม สังคมไทยสมัยก่อนมีคนวัยทำงานจำนวนมาก ผู้สูงอายุน้อย แต่ทุกวันนี้คนวัยทำงานน้อยลง แต่กลับต้องดูแลผู้สูงอายุที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้เกิดกลุ่มคนตรงกลางที่ต้องดูแลทั้งพ่อแม่และลูกไปพร้อม ๆ กัน
“ปัจจุบันมีผู้สูงอายุกว่า 14 ล้านคนที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยเบี้ยผู้สูงอายุ ที่ได้เพียงเดือนละ 600-1,000 บาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิต จากทิศทางหรือกระแสสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การที่คนเรามีอายุยืนยาวขึ้นสวนทางกับอัตราการเกิดของประชากรโลก ทำให้คนอายุ 60 ปีที่อยากหยุดทำงานเริ่มมีจำนวนน้อยลง บางคน 60 แล้วอาจจะยังไม่รู้สึกว่าตัวเองแก่ หรือเป็นผู้สูงอายุ เพราะยังมีสุขภาพแข็งแรงสามารถทำงาน และทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี
“เวลาเราพูดถึงการทำงานของคนอายุเกิน 60 ปี อยากให้มองประเด็นสำคัญ 2 เรื่อง คือ
แม้จะ 60 แล้วแต่ถ้าใครยังสามารถทำงานได้ และมีความสมัครใจ เขาก็ควรจะได้ไปต่อ และแม้จะ 60 แล้วแต่ถ้าใครอยากเปลี่ยนงาน หรือลองไปทำอะไรใหม่ ๆ ก็ควรจะมีงานรูปแบบต่าง ๆ ให้เลือกทำ โดยที่เงื่อนไขการทำงานอาจแตกต่างไปจากรูปแบบของการทำงานปกติ เช่น ทำแค่ 3-4 วันต่อสัปดาห์ หรือ 4-6 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อสร้างทางเลือกให้ผู้สูงอายุยังสามารถออกจากบ้าน ไปทำกิจกรรมต่าง ๆ และมีรายได้กลับมาอย่างเหมาะสม เพราะการที่ผู้สูงอายุยังได้ทำงานอยู่ จะทำให้พวกเขาภูมิใจและเห็นคุณค่าในตัวเอง รวมทั้งได้สร้างประโยชน์ให้กับสังคมด้วย”
เส้นเกษียณที่อาจหายไปในอนาคต
“ในกลุ่มประเทศตะวันตกหลาย ๆ ประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย ไม่ได้กำหนดอายุในการเกษียณมาตั้งนานแล้ว เพราะเขามองว่าการทำแบบนั้นเป็นการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งอายุ และในบางประเทศก็เริ่มมีการขยายอายุการเกษียณเพิ่มเป็น 70 ปี ซึ่งในประเทศไทยเองก็ได้เริ่มนำมาตรการนี้มาใช้แล้วในบางสาขาวิชาชีพ เช่น อัยการ ผู้พิพากษา หรือข้าราชการตุลาการ แต่ถ้าเป็นงานด้านบริหารจะขยายไปถึงแค่ 65 ปี เพื่อไม่ให้ไปบล็อกการเติบโตของคนรุ่นหลัง
“ส่วนประเด็นของการป้องกันไม่ให้คนที่มีศักยภาพไม่เหมาะสม หรือเป็น deadwood ได้อยู่ต่อในองค์กรนั้น เราก็จะต้องประเมินจากผลการทำงานควบคู่ไปด้วย ไม่ใช่พอประกาศขยายอายุเกษียณแล้ว ทุกคนก็จะได้สิทธิเหมือนกันหมดโดยที่ไม่ดูเรื่องของศักยภาพในการทำงานเลย และสำหรับคนที่ไม่ได้อยากทำงานต่อ ก็จะไม่มีการบังคับ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปตามความสมัครใจ”
ตัวอย่างการออกแบบระบบจ้างงานในต่างประเทศ
หลายประเทศเริ่มปรับระบบจ้างงานให้สอดคล้องกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อขยายช่วงเวลาในการทำงานสร้างรายได้ให้ยาวนานขึ้นและให้คนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปยังสามารถดูแลตัวเองได้ เช่น การปรับแก้กฎหมายเกี่ยวกับอายุการจ้างงานของสหราชอาณาจักร จากการกำหนดอายุเกษียณไว้ที่ 65 ปี เป็นไม่มีอายุเกษียณ หรือการกำหนดอายุเกษียณของประเทศฝรั่งเศสที่กำหนดไว้ที่ 70 ปี แต่ถ้าหากลูกจ้างถูกขอให้เกษียณอายุก่อนกำหนดในช่วงอายุ 67-69 ปี ก็จะมีการตรวจสอบคำร้องขอจากนายจ้างจากพนักงานตรวจแรงงานก่อน และคนที่ถูกขอให้เกษียณก่อนกำหนดก็สามารถปฏิเสธคำขอนั้นได้
ส่วนกลุ่มประเทศเอเชียอย่างญี่ปุ่น ก็อนุญาตให้บริษัทกำหนดเกณฑ์อายุเกษียณเองได้ โดยส่วนใหญ่จะกำหนดไว้ที่ 60 ปี และมีมาตรการประกันการจ้างงานของลูกจ้างจนถึงอายุ 65 ปี ด้วยนโยบายการจ้างงานใหม่ (Rehire) คือ การทำสัญญาจ้างใหม่อีกครั้งหลังเกษียณ
วางรากฐานที่มั่นคงด้านสิทธิผู้สูงอายุให้กับสังคมไทยในระดับนานาชาติ
นอกจากเรื่องของ Aging in Place และการสร้างหลักประกันรายได้ให้กับผู้สูงอายุ อีกเรื่องหนึ่งที่ทางกสม. ให้ความสำคัญ คือการสนับสนุนให้มีกฎหมายมารองรับการดูแลสิทธิผู้สูงอายุให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่กฎหมายภายในประเทศ แต่ควรมีตราสารระหว่างประเทศหรืออนุสัญญาว่าด้วยสิทธิของผู้สูงอายุโดยเฉพาะ เพื่อให้กฎหมายฉบับนี้เป็นบรรทัดฐานให้ประเทศต่าง ๆ ช่วยกันดูแลผู้สูงอายุให้ดียิ่งขึ้น
คุณหรรษา เลขาธิการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนของการทำงานในประเด็นนี้ว่า “ตอนนี้ทางองค์การสหประชาชาติ (UN) ได้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างประเทศหลาย ๆ ประเทศในเรื่องของสถานการณ์และสภาพปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดกับผู้สูงอายุในแต่ละประเทศ โดยคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (Human Rights Council: HRC) ได้เริ่มรวบรวมข้อมูลเพื่อการร่างอนุสัญญาฯ ให้ครอบคลุมประเด็นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของผู้สูงอายุ และได้เชิญหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งจากภาครัฐ ภาคประชาสังคม รวมทั้งตัวแทนผู้สูงอายุให้เข้ามาพิจารณาประเด็นต่าง ๆ ในร่างอนุสัญญาฯ ให้ตอบโจทย์กับปัญหาที่เกิดขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งทางกสม. ก็ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในฐานะสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เพื่อให้ข้อมูลและร่วมเสนอแนะประเด็นต่าง ๆ ให้ตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาของผู้สูงอายุ เพื่อให้การร่างอนุสัญญาฯ มีความครอบคลุมในทุกมิติ รวมทั้งเป็นการติดตามความคืบหน้าของการร่างอนุสัญญาฯ ให้ทุกคนได้รับรู้
“ที่ผ่านมาทางกสม.ได้เข้าร่วมการประชุมและกิจกรรมเพื่อส่งเสริมสิทธิผู้สูงอายุ และผลักดันการพัฒนาตราสารระหว่างประเทศเพื่อรับรองสิทธิผู้สูงอายุมาอย่างต่อเนื่อง เช่น การประชุมระหว่างสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกว่าด้วยการส่งเสริมสิทธิผู้สูงอายุและการพัฒนาตราสารระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิผู้สูงอายุ ที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ และการประชุมคณะทำงานว่าด้วยสิทธิผู้สูงอายุของกรอบความร่วมมือเครือข่ายระดับโลกว่าด้วยสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (Global Alliance of National Human Rights Institutions: GANHRI) ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อหารือเกี่ยวกับการรณรงค์ให้มีตราสารที่มีผลผูกพันทางกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิผู้สูงอายุ
“นอกจากนี้ เรายังได้เข้าร่วมประชุมระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกว่าด้วยสิทธิของผู้สูงอายุและการสูงวัย (Asia Pacific Regional Forum on the Right of Older Persons and Ageing) ซึ่งจัดโดยคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติมองโกเลีย ณ กรุงอูลานบาตอร์ ประเทศมองโกเลีย โดยมีผู้แทนจากสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ภาคประชาสังคม ภาครัฐ และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนเข้าร่วมประชุมเพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นเกี่ยวกับการส่งเสริมคุ้มครองสิทธิของผู้สูงอายุ และผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชน ที่เกิดจากสถานการณ์การเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้สูงอายุทั่วโลก รวมถึงการพิจารณาและรับรองคำประกาศเจตนารมณ์อูลานบาตอร์เพื่อยกระดับสิทธิผู้สูงอายุ (Ulaanbaatar Call For Action on Advancing the Human Rights of Older Persons) เพื่อยกร่างอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของผู้สูงอายุให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม”
นอกจากการเปลี่ยนแปลง หรือแก้ไขปัญหาต่าง ๆ เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้สูงอายุ เรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่เราทุกคนจะต้องกลับมาทบทวนร่วมกันก็คือการปรับเปลี่ยนทัศนคติหรือมุมมองของสังคมที่มีต่อผู้สูงอายุไปพร้อม ๆ กันด้วย เพราะถึงแม้ว่าเราจะมีนโยบาย กฎหมาย หรือมาตรการที่ดีแค่ไหน แต่หากคนในสังคมยังขาดความเข้าใจ และมองเรื่องความต่างทางช่วงวัยเป็นปัญหา คิดว่าพออายุ 60 แล้วต้องหยุดทำงาน หยุดทำสิ่งต่าง ๆ เพราะอายุมากเกินกว่าที่จะทำอะไรแล้ว ต่อให้เรามีนโยบายที่ดีแค่ไหน เราก็คงไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคมได้