เมื่อลูกชายนำรูปถ่ายงานศพของพ่อ มาทำรูปคู่รูปแรกในชีวิตด้วย AI

รูปคู่ใบแรกและใบเดียวในชีวิต

“ผมเห็นคนอื่นเขาใช้ AI ทำรูปแบบนี้กันมาสักพักแล้ว แต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะลองทำ จนเมื่อคืนนี้มีเพื่อน generate รูปผมกับเขาแล้วส่งมาให้ดู แล้วบอกว่ามันน่ารักดีนะ พอดีผมหันไปเห็นรูปตั้งหน้าศพพ่อที่วางอยู่บนหัวนอนก็เลยคิดว่า เราลองทำรูปคู่กับพ่อดูดีไหม เพราะว่าเราไม่เคยมีรูปคู่กับพ่อเลย ผมก็เลยเอารูปถ่ายหน้าตรงขนาด 1 นิ้วของพ่อซึ่งผมก็เก็บรูปนั้นใส่กระเป๋าสตางค์ไว้ตลอดกับรูปตัวเองในชุดสีกากีให้ AI ลอง generate ดู ตอนแรกผมก็นั่งลุ้นว่ามันจะออกมาเป็นแบบไหน แต่พอทำเสร็จ ผมก็น้ำตาซึมเลย

“พอทำรูปเสร็จ ผมก็ส่งรูปนี้เข้าไปในกลุ่มไลน์ครอบครัว แล้วญาติพี่น้องก็พูดถึงความทรงจำที่พวกเขามีกับพ่อขึ้นมา มันเหมือนเป็นการย้อนกลับไปสู่ภาพจำเดิม ๆ อีกครั้ง”

มนุษย์ต่างวัย คุยกับ ‘โด่ง’ อภิศักดิ์ นิลนาม ลูกชายวัย 29 ปี ที่เพิ่งมีโอกาสมีรูปคู่กับพ่อรูปแรกในชีวิต เพราะพ่อจากไปตั้งแต่เขายังเด็ก แต่วันนี้  AI ได้ช่วยเนรมิตรูปคู่ใบแรกให้จากรูปถ่ายของพ่อที่มีเพียงไม่กี่ใบ

‘พ่อ’ ในความทรงจำ

“ผมมีโอกาสได้อยู่กับพ่อในช่วงสั้น ๆ เพราะพ่อเสียไปตั้งแต่ช่วงที่ผมอยู่ชั้นอนุบาล เท่าที่จำความได้ พ่อเป็นตัวท็อปของบ้าน คือเป็นลูกชายที่เกเรของย่า เสพยา เข้า ๆ ออก ๆ คุกอยู่เป็นประจำ

“ภาพจำเท่าที่จำได้ คือแกเป็นคนพาผมไปนั่งในร้านน้ำชา พาไปซื้อของเล่น ปู่กับย่าเคยบอกว่าพ่อเป็นคนที่ทำอาหารอร่อย ซึ่งทุกวันนี้ผมก็เป็นคนที่ชอบทำอาหาร อีกเรื่องก็คือนิสัยขี้เล่น ชอบหยอก ชอบแหย่ให้คนอื่นอารมณ์ดี ซึ่งจุดนี้ก็มีคนบอกว่าเราเหมือนกับพ่อ

“พ่อเริ่มป่วยเป็นโรคเนื้องอกในสมอง ต้องไปอยู่โรงพยาบาลยาว ๆ จนช่วงสุดท้ายในชีวิตถึงกลับมาอยู่บ้าน ภาพของพ่อในความทรงจำตอนนั้น คือ แกผอมมาก ผอมจนเรารู้สึกกลัว จากแต่ก่อนที่เราเคยใกล้ชิดกับพ่อ ผมกลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้ พ่อเรียกให้ไปหา ผมก็ไม่กล้าเข้าไป ด้วยความที่ตอนนั้นเป็นเด็กมาก ๆ อยู่แค่ชั้นอนุบาล ผมรู้สึกว่าคนที่เราเห็นอยู่ตรงหน้าไม่ใช่พ่อตัวเอง ยิ่งแกป่วย แล้วบางครั้งแกส่งเสียงร้องครวญครางเพราะความเจ็บปวด มันก็ยิ่งทำให้เรากลัวมากขึ้น แล้วก็ไม่กล้าที่จะเข้าใกล้พ่ออีกเลย จนกระทั่งถึงวาระสุดท้ายของพ่อ ย่าบอกให้เข้าไปลา เราก็ไม่กล้าเข้าไปอยู่ดี

“แต่พอวินาทีที่ย่าบอกว่าพ่อเสียแล้วนะ พ่อไม่อยู่แล้ว และเขาก็ร้องไห้กัน ผมจำได้ว่าผมวิ่งออกไปหน้าบ้านไปบอกคนที่เดินผ่านไปมาว่าพ่อผมเสียแล้วนะ ในขณะที่ตัวเองก็ยังร้องไห้อยู่

“เมื่อก่อนที่บ้านผมฐานะค่อนข้างยากจน ที่บ้านไม่มีกล้องถ่ายรูปหรือโทรศัพท์มือถือดี ๆ ใช้ ผมก็เลยไม่เคยมีรูปดี ๆ คู่กับพ่อเลย”

บทเรียนเรียนชีวิตที่พ่อทิ้งไว้

“ความทรงจำหนึ่งในวัยเด็กที่เรามี ก็คือ บ้านเราจะถูกประณามว่าเป็นบ้านไอ้ขี้ยามาโดยตลอด แล้วผมก็ตั้งปณิธานกับตัวเองเลยว่าเราจะต้องไม่เป็นแบบนั้น

“สิ่งที่พ่อทำเหมือนเขากำลังชี้แนะเราว่าหนทางนี้มันไม่ดีนะ มันไม่ถูกต้อง เราไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง เหมือนพ่อทิ้งบทเรียนอันยิ่งใหญ่ไว้ให้กับผม มันเป็นสิ่งที่ผมคิดมาตลอด

“ช่วงที่ผมเรียนมัธยม ผมก็อยู่ในกลุ่มเพื่อนที่ค่อนข้างจะเกเร เพื่อน ๆ ก็สูบบุหรี่ แต่พอนึกถึงพ่อ เราก็ไม่ทำ เพราะเราเห็นมาก่อนแล้วว่าพ่อทำแล้วชีวิตเขาเป็นอย่างไร และผมก็พยายามผลักดันตัวเองจนได้รับราชการ คำว่า ‘ครอบครัวขี้ยา’ มันต้องจบลงในรุ่นเรา เราจะต้องเป็นความภาคภูมิใจใหม่ของครอบครัวให้ได้ หลายครั้งที่ผมไปเจอเพื่อนของพ่อ เขาก็บอกว่าอยากให้พ่อได้อยู่เห็นผมในชุดราชการอย่างในวันนี้

“ผมอยากให้ทุกคนเลือกเก็บความทรงจำที่มีต่อกัน เก็บสิ่งดี ๆ ที่เป็นบทเรียนเอาไว้ อะไรไม่ดี ไม่น่าจดจำ ก็ให้ลืม ๆ มันไป เราเลือกได้ว่าจะใช้ความทรงจำที่เขาทิ้งไว้ให้ในแบบไหน ใช้เพื่อพัฒนาตัวเองหรือทำลายตัวเองก็ได้ อยู่ที่เราเลือก

“รูปถ่ายคู่ระหว่างผมกับพ่อ ผมรู้สึกว่าพ่อเท่มาก ผมไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะมีรูปคู่กับพ่อ ผมตั้งใจว่าจะเอารูปนี้ไปใส่กรอบแล้วแขวนไว้ที่บ้าน มันเหมือนทำให้ผมได้เจอพ่ออีกครั้งในอีกเวอร์ชันที่แตกต่างจากภาพในความทรงจำที่เรามี”

Credits

Author

ถึงจะต่างวัยแต่ก็
อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ