เมื่อโลกกว้างใหญ่ถูกเชื่อมต่อถึงกันได้ง่ายด้วยเทคโนโลยี แต่การเชื่อมต่อและมีปฏิสัมพันธ์กันในชีวิตจริงกลับดูยากและห่างไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อเราต่างคนต่างอยู่ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรถ้าวันข้างหน้าเราจะตายจากไป โดยที่ไม่มีใครรับรู้ หรือกว่าจะรู้เวลาก็ผ่านไปนานแล้ว
เราอยากชวนทุกคนให้ลองคิดว่า ถ้าวันข้างหน้าที่เราอายุมากขึ้น ไม่มีคนรอบข้าง ต้องอยู่คนเดียวในช่วงบั้นปลายของชีวิต มีอะไรบ้างที่เราต้องการเพื่อสนับสนุนการอยู่คนเดียวและตายได้อย่างไม่รู้สึกโดเดี่ยวในแบบที่เราอยากให้เกิดขึ้น
ในวันที่ประเทศไทยกำลังค่อย ๆ นับถอยหลังเพื่อเข้าสู่การเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super Aged Society) มีการคาดประมาณว่าเราจะมีผู้สูงอายุมากถึง 18.6 ล้านคนในปี 2576 หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของคนไทยทั้งประเทศ
ในขณะเดียวกันจำนวนผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่า จากร้อยละ 3.6 ในปี 2537 เป็นร้อยละ 12.9 ในปี 2567 (การสำรวจประชากรสูงอายุในประเทศไทย พ.ศ.2567, สำนักงานสถิติแห่งชาติ) นำไปสู่ความเสี่ยงของการเกิดปัญหาการตายอย่างโดดเดี่ยวที่เพิ่มขึ้นของผู้สูงอายุในกลุ่มนี้ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดความเหงา ปัญหาสุขภาพจิต การไม่ได้รับความช่วยเหลือในเวลาหรือสถานการณ์ที่จำเป็น เร่งด่วน และปัญหาอื่น ๆ อีกมากมาย
ซึ่งปัญหานี้ไม่ได้เกิดแค่ในบ้านเราเท่านั้น เพราะในประเทศญี่ปุ่นซึ่งเข้าสู่สังคมสูงวัยมาก่อนหน้าเรานานแล้ว ก็เกิดปรากฏการณ์การตายอย่างโดดเดี่ยวอย่างต่อเนื่องมาหลายปี เฉพาะในโตเกียวแค่เมืองเดียวก็พบคนที่ตายอย่างโดดเดี่ยวเกือบ 5,000 คน (รายงานของสำนักงานสวัสดิการสังคมและสาธารณสุขปี 2017) ซึ่งมากกว่าครึ่งเป็นผู้ชาย และส่วนใหญ่มีอายุมากกว่า 60 ปี จนมีคำเรียกปรากฏการณ์นี้ว่า ‘โคะโดะคุชิ’
ในส่วนของประเทศเกาหลีใต้ที่มีจำนวนผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวกว่า 1.2 ล้านครัวเรือน ก็พบปรากฏการณ์การตายอย่างโดดเดี่ยวที่เรียกว่า ‘โกด็อกซา’ เช่นกัน ซึ่งกว่า 60% เป็นคนที่อยู่ในช่วงอายุ 50-60 ปี
ทำไมผู้สูงอายุไทยถึงต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว?
สถานภาพที่เปลี่ยนแปลงไป
เมื่อก่อนผู้สูงอายุอาจเคยใช้ชีวิตร่วมกับสามีหรือภรรยา แต่พอเวลาผ่านไปมีคนที่ต้องจากไปก่อน ก็เลยทำให้อีกคนต้องใช้ชีวิตคนเดียวในช่วงบั้นปลายชีวิต หรือบางคนอาจเคยแต่งงานแล้วหย่าร้างไป
ไม่มีลูก หลาน หรือญาติพี่น้อง
ด้วยรูปแบบวิถีชีวิตและสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงไป ทำให้คนไทยใช้ชีวิตเป็นครอบครัวเดี่ยว หรือครอบครัวขนาดเล็กกันมากขึ้น ไม่ได้อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ที่มีคนอย่างน้อย 3 เจเนอเรชันเหมือนในสมัยก่อน บางคนก็อยู่เป็นโสด ไม่มีลูก ส่วนญาติพี่น้องก็ค่อย ๆ ห่างกันไป ไม่ได้ติดต่อ หรือไม่ก็อยู่ไกล ไม่สะดวกในการไปมาหาสู่ นาน ๆ ทีถึงจะได้เจอกัน ทำให้ผู้สูงอายุต้องใช้ชีวิตอยู่เพีบงลำพัง
ลูกเติบโตขึ้นแล้วย้ายที่อยู่ เพื่อไปทำงานหรือสร้างครอบครัวที่อื่น
ถึงแม้ผู้สูงอายุบางคนจะมีลูกหลาน แต่ลูก ๆ ก็ย้ายออกจากบ้านไปทำงานหรือสร้างครอบครัวที่อื่น ทำให้พ่อแม่ต้องอยู่คนเดียว หรือใช้ชีวิตอยู่กันเองในวันที่อายุมากขึ้น แต่ถ้าหากบ้านไหนที่ลูก ๆ อยู่ไม่ไกลมาก ก็อาจมีเวลาได้แวะมาเยี่ยมเยียน หรือดูแลพ่อแม่ได้บ่อยขึ้น
อยู่สบาย ตายดี
สิ่งสำคัญที่ทุกคนในสังคมสามารถทำได้ในวันที่เรามีจำนวนผู้สูงอายุมากขึ้น และมีแนวโน้มว่าจะต้องอยู่คนเดียวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ คือ การเตรียมพร้อมชีวิตในทุก ๆ ด้านตั้งแต่วันที่ยังไม่เข้าสู่วัยสูงอายุ ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ การเงิน การงานที่หล่อเลี้ยงชีวิตและจิตใจให้รู้สึกมีคุณค่า การมองหากิจกรรมหรืองานอดิเรกที่ชอบ เพื่อเปิดโอกาสให้ตัวเองได้มีสังคมหรือความสัมพันธ์ดี ๆ จากการได้รู้จักผู้คนใหม่ ๆ ที่อาจกลายเป็นเพื่อนหรือครอบครัวที่จะช่วยดูแลซึ่งกันและกันในวันที่อายุมากขึ้น
ถัดจากการเตรียมตัวคงเป็นเรื่องของการเตรียมชุมชน หรือสังคมให้พร้อม เช่น การสร้างระบบการดูแลช่วยเหลือผู้สูงอายุในชุมชน ให้คนในชุมชนหรือเพื่อนบ้านช่วยดูแลผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียว ไม่มีคนดูแล ส่วนเรื่องของนโยบายนั้นก็คงจะต้องทำการสำรวจ ศึกษา และหารือกับทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาชน และภาคประชาสังคมหรือหน่วยงานที่ทำงานในประเด็นนี้ เพื่อให้ข้อมูลและนำเสนอแนวทางในการสร้างนโยบายในการดูแลผู้สูงอายุให้ครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็น การสร้างระบบชีวาภิบาลและระบบการดูแลผู้สูงอายุ การปรับแก้กฎหมายให้สอดคล้องกับบริบททางสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป การสร้างพื้นที่ กิจกรรม หรือสังคมสำหรับผู้สูงอายุ ตลอดจนการสร้างเมืองหรือสิ่งแวดล้อมที่เป็นมิตรและเหมาะกับการใช้ชีวิตกับผู้สูงอายุทุกกลุ่ม ทั้งกลุ่มที่ยังช่วยเหลือตัวเองได้และกลุ่มที่ต้องมีผู้ดูแล เพื่อเตรียมสังคมไทยให้มีความพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่ให้ใครต้องรู้สึกโดดเดี่ยว หรือถูกลืมไปจากระบบสังคม
โดยวางนโยบายที่สอดคล้องกับชีวิตของคนไทยตั้งแต่ช่วงก่อนเกษียณ หลังเกษียณ ไปจนถึงการสร้างความเข้าใจเรื่องการเตรียมตัวสำหรับชีวิตในวาระสุดท้าย ทั้งเรื่องของการเลือกรับหรือปฏิเสธกระบวนการรักษาในวันที่เจ็บป่วย การจัดการกับร่างกาย ทรัพย์สิน ไปจนถึงพิธีกรรมหรือกระบวนการต่าง ๆ หลังการจากไปให้ดีที่สุดในแบบของตัวเอง เพราะสุดท้ายไม่ว่าเราจะใช้ชีวิตคนเดียว ใช้ชีวิตกับครอบครัว ญาติพี่น้อง หรือเพื่อนบ้าน ทุกคนก็คงอยากมีชีวิตช่วงสุดท้ายที่ดี และจากไปโดยไม่ทิ้งภาระหรือความไม่สบายใจไว้ให้คนที่ยังอยู่
อ้างอิง
- https://ipsr.mahidol.ac.th/…/2022/03/Report-File-572.pdf
- https://www.matichon.co.th/weekly/column/article_636227
- ภาวะความตายอย่างโดดเดี่ยว: สื่อสารภาพสะท้อนสังคมสูงวัย โดย อารีย์ พีรพรวิพุธ
- การศึกษากลไกและแนวทางการขับเคลื่อนข้อเสนอเชิงนโยบายรองรับประชากรกลุ่มเสี่ยงผู้สูงอายุที่จะ “เสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยว” โดย รศ. ดร.สมศักดิ์ อมรสิริพงศ์ และคณะ