“บ้านตาเรือง” ร้านอาหารรสมือยาย ที่อยากให้คนกินอิ่มใจและหายคิดถึงบ้าน

อาหารที่อร่อยที่สุดสำหรับคุณคืออาหารแบบไหน ?

โอมากาเสะรสเลิศจากเชฟชาวญี่ปุ่น ส้มตำเผ็ด ๆ จากร้านรถเข็นแถวบ้าน หรือไข่พะโล้ที่บ้านที่แม่ทำซ้ำไปอีก 7 วันก็ได้ ถ้าลูกบอกว่าอร่อย

บางครั้งอาหารอร่อยที่สุดสำหรับใครหลายคน ก็ไม่ใช่อาหารรสเลิศจากเชฟชื่อดัง หรืออาหารร้านดังที่มีแฟรนไชส์อยู่ทั่วประเทศ เพราะรสชาติที่เราคิดถึงอาจไม่ใช่แค่ความอร่อย แต่คือรสชาติของความรัก ความห่วงใย และความใส่ใจที่อยู่ในอาหาร ที่เราอาจหากินจากร้านไหนก็ไม่มีใครทำได้เหมือน แต่ไม่แน่ว่ารสชาติแบบนั้น ที่หลายคนคิดถึงและอาจกำลังตามหาอยู่ อาจจะเจอได้ที่นี่…

"บ้านตาเรือง" ร้านอาหารรสมือยาย ที่อยากให้คนกินอิ่มใจและหายคิดถึงบ้าน

ที่ร้านอาหาร ‘บ้านตาเรือง’ รัชดาซ.3 แยก 14 ร้านอาหารที่หลานชายอย่าง ‘หวาย’ สมิทธิ เกษสกุล วัย 40 ปี ตั้งใจเปิดให้เป็นพื้นที่แห่งความสุขของยายทั้ง 4 คนของเขา โดยมี ‘ยายจิตต์’ วัย 87 ปี และ ‘ยายแอ๊ว’ วัย 85 ปี เป็นกำลังสำคัญในการทำเมนูต่าง ๆ ทั้งคาวหวาน ซึ่งรสชาติอาหารก็เป็นรสชาติที่กินง่าย ๆ เหมือนที่ทำกินกันในครอบครัว

หวายตั้งใจให้ที่นี่เป็นเหมือนบ้านมากกว่าร้านอาหาร เป็นบ้านของยาย ๆ ที่ใครหลายคนสามารถแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมเยียนได้ และอยากทำอาหารที่คนกินแล้วกลับไปด้วยความ ‘อิ่มใจ’ ไม่ใช่แค่ ‘อิ่มท้อง’ เขาเล่าย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้นของการเปิดร้าน ‘บ้านตาเรือง’ ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของชีวิตตัวเองว่า

“ที่ตรงนี้เป็นบ้านของตาเรือง ซึ่งเป็นคุณทวดของเรา เหตุผลที่มาทำร้านที่บ้านนี้ เพราะมันเป็นที่ที่มีความทรงจำของครอบครัวอยู่ เราไม่รู้ว่าอะไรมันจะติดกับใจคนได้มากไปกว่าอาหาร เราว่าอาหารมันเข้าถึงคนง่าย มันสื่อสารได้ง่ายที่สุด มีหลาย  ๆ คนที่เขาคิดถึงอาหารที่พ่อแม่ทำให้ ปู่ย่าตายายทำให้ ซึ่งเราว่าความใส่ใจ หรือความรู้สึกดี ๆ ที่ถูกใส่ลงไปในอาหารแบบนั้น มันน้อยลง และหายากแล้ว ก็เลยคิดว่าลองทำร้านอาหารก็ได้

“สมัยก่อนเราเป็นพนักงานประจำ วันหนึ่งยายที่เป็นน้องสาวของยายแท้ ๆ ของเราเสีย หลังจากไปโรงพยาบาลแค่วันเดียว ทุกอย่างมันเร็วมาก วันนั้นเราทำอะไรไม่ถูกเลย มันคิดว่าที่ผ่านมาเราทำอะไรกันอยู่ ทำไมแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ได้นั่งคุยกัน ยังไม่มีเลย เราก็เลยตัดสินใจว่าจะเก็บเงินแล้วมาทำอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บ้าน

“เราคิดมานานแล้วว่าอยากจะเกษียณตัวเองตอนอายุ 35 หารายได้แค่สักวันละ 1,000 ก็น่าจะพอ ถ้าเราไม่มีหนี้ เพราะบ้านก็ไม่ต้องเช่า รถก็ผ่อนหมดแล้ว เราอยู่กับยาย ๆ มาตั้งแต่เด็ก พอยายเสียไปคนหนึ่ง มันยิ่งกระตุ้นให้เราได้คิดว่าเวลามันน้อยลงแล้วนะ เราก็เลยอยากให้เวลากับยายอีก 4 คนที่เขายังอยู่ เราคิดว่ามันเป็นเหมือนโค้งสุดท้าย เพราะคนเราพอ 75 ไปแล้ว ก็เริ่มคาดเดาอะไรไม่ได้ เราคิดว่ามันไม่มีพรุ่งนี้หรอก มันมีแค่วันนี้ ถ้าจะทำก็ทำเลย”

"บ้านตาเรือง" ร้านอาหารรสมือยาย ที่อยากให้คนกินอิ่มใจและหายคิดถึงบ้าน

ชีวิตที่เลือกแล้ว 

“พอเราออกมาอยู่บ้านจริง ๆ เราก็ได้เห็นว่ายายค่อย ๆ แก่ขึ้น เรี่ยวแรงน้อยลง เขาเคยมีแรงยกของบางอย่างเองได้ ก็ยกไม่ได้แล้ว ช่วงที่ยายเขายังมีแรงทำโน่นทำนี่ เขารู้สึกว่าเขาเป็นเจ้าของชีวิตตัวเอง เขามีคุณค่า แล้วเขาก็มีความสุขดี เวลาที่ยายเขาอยู่บ้านเฉย ๆ เขาจะเริ่มนิ่ง เริ่มเหงา ดูเศร้า ๆ จากเมื่อก่อนที่เขาปีนต้นมะม่วง ทุบกำแพงได้ แต่วันนี้เขาทำไม่ไหว เราก็พยายามหาอะไรที่คิดว่าเขาทำแล้วมันยังสร้างแรงใจให้เขาได้ การทำร้านนี้ก็คือการเอาของที่เขาถนัดและเคยทำมาทำให้มันมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

“เมื่อก่อนยายเขาทำกับข้าว ทำขนม แต่ก็ทำกินกันเอง ไม่ได้เอาไปขายที่ไหน พอวันนี้เราเปิดร้าน แล้วขอให้เขาช่วยทำนั่น ทำนี่ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองยังมีหน้าที่ให้ทำอยู่ แล้วเราก็สามารถรักษาความสุขของเขาไว้ได้

“การทำร้านอาหารมันเหนื่อยมาก จริง ๆ ยายก็ไม่ได้อยากให้เปิดร้าน เพราะเขากลัวเราจะเหนื่อยเกินไป มีหลายครั้งที่เราท้อ บางครั้งร้องไห้อยู่หน้าเตาก็มีนะ ผัด ๆ กับข้าวอยู่ แล้วรู้สึกว่า จริง ๆ แล้วเราทำอะไรได้มากกว่านี้ในโลกข้างนอก เมื่อก่อนเราทำงาน มีเงินเดือน เรามีหน้าที่แค่บริหารจัดการเงินเดือน แต่พอมาทำร้าน มันมีต้นทุน กำไร บางทีของถูก ของแพง เราคาดเดาไม่ได้เลย แต่ว่าเราเลือกมาแล้ว ร้านนี้เป็นที่ที่ทุกคนในบ้านเอาหัวใจมาวางไว้ บางทีเหนื่อย ๆ เราก็เข้ามานั่งในร้าน มาดูรูปเก่า ๆ ที่ยายนั่งทำกับข้าว หาอะไรที่ช่วยทำให้ใจเราดีขึ้น

“ตอนทำงานประจำก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกว่าเราก็เหนื่อย ไม่อย่างนั้นเราก็คงไม่ตัดสินใจที่จะออกมาง่าย ๆ แต่เราบอกตัวเองว่าวันนั้นที่เหนื่อย ที่ตัดสินใจลาออก มันไม่เหมือนกับวันนี้ เราต้องชั่งน้ำหนักให้ดี ๆ วันนั้นเราเหนื่อย เราไม่ทน เพราะเราเหนื่อยให้คนอื่น แต่วันนี้เราเหนื่อยเพื่อคนที่บ้านเรา ทำไมเราจะยอมไม่ได้

“ถ้าถามว่าการเลือกลาออกมาเปิดร้านแบบนี้มันเป็นการตัดสินใจที่ถูกไหม ถ้าคิดเรื่องเงิน มันผิดเต็ม ๆ แต่ถ้าคิดในเรื่องของเวลาที่เราได้อยู่กับยาย ได้ทำให้ยายมีอะไรทำ มันเป็นอะไรที่เราคิดถูกมาก ๆ เลยนะ พอนึกถึงรอยยิ้มของยาย มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าการที่ยังมีอะไรให้เขาทำอยู่ มันทำให้เขายังดูแข็งแรง ไม่แก่ไปตามวัย ถ้าวันนี้เราไม่ทำ วันหน้าที่ความสูญเสียมาเยือนมันก็คงน่าเศร้า น่าเสียดายมากกว่า”

"บ้านตาเรือง" ร้านอาหารรสมือยาย ที่อยากให้คนกินอิ่มใจและหายคิดถึงบ้าน

รสชาติของความสุข

“จุดเด่นของร้านเรา คือ ความช้า (หัวเราะ) เราไม่เคยบอกว่าอาหารร้านเราอร่อยที่สุด เราบอกว่ามันไม่อร่อยด้วยซ้ำ แต่เราขายความสุข มันเป็นความสุขของเรา ความสุขของยาย เราไม่ได้เปิดร้านทุกวัน บางทีถ้าเราติดงาน หรือยายทำไม่ไหวเราก็จะปิด เวลาเปิด-ปิดไม่แน่นอน ต้องติดตามเพจไว้ เพราะเราจะอัปเดตในช่องทางนั้น

“ร้านเราจะทำเมนูอาหารไทยแบบเก่าปนใหม่ เพราะถ้าเก่ามากเกินไป คนอื่นเขาก็จะกินไม่เป็น อาหารบางอย่างที่ยายเล่าให้เราฟัง บางทีเรายังคิดว่ามันจะกินได้เหรอ เราก็เลยใช้ประสบการณ์ของเรามาผสมกับความรู้ ความถนัดของยาย เพื่อให้มันออกมาแล้วกินได้ง่ายขึ้น ทำให้มันออกมาเป็นอาหารแบบทำกินที่บ้านให้มากที่สุด”

"บ้านตาเรือง" ร้านอาหารรสมือยาย ที่อยากให้คนกินอิ่มใจและหายคิดถึงบ้าน

เมนูที่ร้านบ้านตาเรืองมักจะเป็นอาหารและขนมไทยที่กินง่าย ๆ เช่น น้ำพริกขี้กากุ้งสด ต้มสายบัวปลาทู ไข่ลูกเขย ผัดหมี่สิริมงคล แกงไก่ยอดมะพร้าว ข้าวเหนียวสังขยา ตะโก้สาคูมะพร้าวอ่อน ข้าวต้มมัด แต่ยายจิตต์และยายแอ๊วแอบกระซิบมาว่า เมนูที่อร่อยที่สุดสำหรับยาย ๆ ก็คือ เมี่ยงคำ เพราะมันเคี้ยวได้เรื่อย ๆ ยิ่งเคี้ยวยิ่งอร่อย และเป็นสูตรเฉพาะที่ทำกันมานานตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย

“เราไม่เคยไปเรียนทำอาหาร ทำขนมที่ไหน แค่ช่วยยายอยู่ในครัวมาตั้งแต่เด็ก แล้วค่อย ๆ ซึมซับรสชาติมาเรื่อย ๆ การที่ได้อยู่กับยาย มันเลยสอนเราให้ได้ทำ ได้รู้รสชาติ อาหารบางอย่างมันดูยาก ดูหน้าตาแล้วต้องคิดก่อนว่าจะกินอย่างไร แต่เราคิดว่าอาหารมันช่วยหล่อเลี้ยงชีวิต อาหารทำให้คนมีความสุข เราแค่ทำให้มันกินง่ายที่สุด เป้าหมายของสำรับเรา คือ แค่ทำให้ทุกคนได้อยู่ใกล้ ๆ กัน ได้กินข้าวด้วยกัน ได้พูด ได้คุยกัน”

"บ้านตาเรือง" ร้านอาหารรสมือยาย ที่อยากให้คนกินอิ่มใจและหายคิดถึงบ้าน

กับข้าวที่กินแล้วเหมือนได้กลับบ้าน

“การทำร้านนี้ทำให้เราได้รู้ว่ามีใครอีกหลายคนที่เขาคิดถึงอาหารที่บ้าน บางคนย้ายจากต่างจังหวัดมาอยู่กรุงเทพฯ เขาก็คิดถึงอาหารที่พ่อแม่ ปู่ย่าตายายเขาเคยทำให้กิน เคยมีคนมานั่งกินข้าวที่ร้านแล้วร้องไห้ เพราะเขาบอกว่ามันเหมือนแกงส้มที่ปู่เขาเคยทำให้ เราไม่เคยถามลูกค้าว่าอาหารอร่อยไหม แต่พอลูกค้ามาบอกแบบนี้ มันทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันมีคุณค่า มีประโยชน์ในแง่ความรู้สึกของใครหลายคน บางคนซื้อกล้วยบวชชีไปแล้วโทรมาร้องไห้ เราก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร แต่เราก็ร้องไห้ไปกับเขา แค่กล้วย น้ำกะทิ ใส่น้ำตาล แต่เขาบอกเราว่าเขาไม่เคยกินรสแบบนี้เลย

“จริง ๆ เราไม่ต้องเปิดหน้าร้านสวย ๆ ก็ได้ แต่เราเสียดายบรรยากาศเวลาที่ลูกค้ามาที่บ้าน แล้วได้เจอกัน ได้คุยกัน ได้เห็นเขานั่งกินข้าว บางทีลูกค้าก็ซื้อของมาฝากยาย ยายเขาก็แถมนั่นแถมนี่ให้ มันก็มีความสุข เราคิดไม่ออกเลยว่าอย่างอื่นที่ทำแล้วจะทำให้คนเข้ามาหาเราง่าย ๆ เหมือนร้านอาหารมันคืออะไร

“เราย้ำตลอดเลยนะว่าร้านเราไม่ได้อร่อย กับข้าวก็ไม่ได้มีเยอะ แต่ถ้ามาแล้วมาเจออะไรบางอย่างที่มันเป็นความผูกพัน ทำให้ความรู้สึกเก่า ๆ มันย้อนกลับมา เรารู้สึกว่าการทำร้านของเรามันประสบความสำเร็จแล้ว”

"บ้านตาเรือง" ร้านอาหารรสมือยาย ที่อยากให้คนกินอิ่มใจและหายคิดถึงบ้าน

สิ่งที่ยาย(อยาก)บอก

ยายจิตต์บอกว่า “เวลาไปไหนแล้วได้ยินคนพูดกันว่า ‘ร้านบ้านตาเรืองน่ะ ถ้าไม่จองก็ไม่ได้กินหรอก’ เราก็ดีใจ จริง ๆ ยายไม่ค่อยชอบทำหรอก ชอบกินมากกว่า แต่พอหยุดทำงาน ก็ไม่ได้ทำอะไรเลย พอหลานชวนมาทำร้านอาหารก็สนุกดีนะ อยากจะให้เขาทำทุกวัน แต่ก็กลัวเขาทำไม่ไหว

“อยากขอบคุณเขา เพราะเขาคอยดูแลเรา ที่เราอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะเขา ไม่ว่าจะทำอะไร อยากได้อะไร เขาก็ดูแลให้เรียบร้อย เวลาทำอาหารด้วยกันก็สนุกดี คุยกัน แซวกันไปมา พอให้มีเสียงหัวเราะ

“เราเป็นคนโบราณ ก็ไม่เคยมานั่งกอด นั่งหอมเหมือนสมัยนี้ แม้กระทั่งจับมือก็ยังไม่ค่อยได้จับเลย แค่คุยกัน แหย่กันทุกวัน ดีใจที่ได้อยู่กับหลาน มีเขาอยู่คนเดียว ยังไงก็รัก”

นาน ๆ ที…ก็ยินดีรอ

ทุกวันนี้ร้านบ้านตาเรือง เปิดให้บริการมากว่า 8 ปีแล้ว ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นลูกค้าประจำที่ติดตามแล้วสั่งอาหารผ่านทางเพจเฟซบุ๊ก ด้วยความตั้งใจของหวายที่อยากทำให้ที่แห่งนี้เป็นบ้านมากกว่าเป็นร้าน บ้านตาเรืองจึงจะเปิดเฉพาะวันที่เขากับยายว่าง ด้วยความที่ยาย ๆ ก็อายุมากกันแล้ว จะให้นั่งทำอาหารนาน ๆ ทุกวันก็คงจะไม่ไหว และก็คงจะหนักเกินไปที่หลานชายอย่างหวายจะทำทุกอย่างได้คนเดียว

กับข้าวที่บ้านตาเรืองจึงเปรียบเสมือนการไปกินข้าวบ้านคุณยาย คุณย่าเพื่อน ที่ถ้าจะไปคงต้องทักไปถามก่อนว่าวันนี้อยู่บ้านกันหรือเปล่า และอาจเป็นเพราะร้านไม่ได้เปิดทุกวัน ก็เลยทำให้หลายคนที่เคยได้กินฝีมือยาย ๆ รอคอยที่จะกินให้หายคิดถึง เหมือนกับหลาน ๆ ที่รอการกลับบ้านไปกินกับข้าวฝีมือยายอยู่เสมอ

สำหรับใครที่อยากลองชิมอาหารบ้านตาเรืองสามารถกดติดตามเพจไว้ก่อนได้ เพราะมีข่าวดีแว่ว ๆ มาว่าเดือนตุลาคมนี้ ‘บ้านตาเรือง’ จะกลับมาเปิดร้านให้ทุกคนได้หายคิดถึงกันอีกครั้ง

ติดตามข้อมูลวันเปิดปิดร้านและเมนูอร่อยๆ เพิ่มเติมที่ Facebook: Baan Ta Ruang บ้านตาเรือง

Credits

Authors

ถึงจะต่างวัยแต่ก็
อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ