หลายคนคงมีวิธีการรับมือกับความทุกข์ ความไม่สบายใจในแบบของตัวเอง บางคนชอบไปเดินป่า บางคนเลือกที่จะฟังเพลง บางคนเลือกไปออกกำลังกาย หรือบางคนก็ฮีลใจด้วยการอยู่กับสัตว์เลี้ยง
แต่สำหรับผู้ชายที่ต้องก้าวข้ามผ่านความทุกข์จากการสูญเสียพ่อ ความเครียดและความกดดันจากหน้าที่การงานจนส่งผลกระทบให้เกิดความเจ็บป่วยทั้งทางกายและใจ หรือเรียกได้ว่า ช่วงเวลานั้นคือ ช่วง midlife crisis หรือวิกฤตของชีวิตวัยกลางคน เขาเลือกที่จะเยียวยาใจด้วยการทำอาหาร ลองเรียนรู้ ทำโน่น ทำนี่ไปเรื่อย ๆ ตั้งแต่ทอดไข่เจียว ทำแฮมเบอร์เกอร์ หรือแม้กระทั่งลองทำก๋วยเตี๋ยวเนื้อ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองไม่กินเนื้อ นั่นเป็นเพราะเขารู้สึกว่าการทำอาหารนั้นทำให้เขาได้พักจากเรื่องราววุ่นวาย และจดจ่ออยู่กับสิ่งตรงหน้า เขาจึงตัดสินใจว่าอยากลองทำร้านอาหารของตัวเอง จากนั้นก็เลยเริ่มค้นหาว่าอยากทำร้านอะไร
สุดท้ายเพราะความชอบน้ำซุป และสังเกตว่าตัวเองชอบไปนั่งในร้านราเมนบ่อย ๆ เวลาเลิกงาน ก็เลยตัดสินใจว่าชีวิตบทใหม่ของตัวเอง คงจะจบที่การเป็นเจ้าของร้านราเมนเล็ก ๆ ที่อยากให้คนกินมีความสุข
มนุษย์ต่างวัย คุยกับ ‘บอย’ ศิวดล ระถี วัย 50 ปี เจ้าของร้าน ‘นนบุราเมน (NONBU RAMEN)’ ร้านราเมนที่เริ่มต้นในช่วงวัย midlife เพราะจุดเปลี่ยนจากการสูญเสียพ่อและความเจ็บป่วยด้วยโรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (Bell’s Palsy) ทำให้เขามองเห็นความไม่แน่นอนของชีวิต ความฝันใหญ่โตมากมายที่เคยไขว่คว้า ต่อให้ได้มาก็อยู่ได้แค่ชั่วคราว เขาจึงตัดสินใจว่าจะใช้ชีวิตที่เหลืออย่างมีความสุข ด้วยการทำสิ่งที่ชอบและอยู่เคียงข้างคนที่รัก
‘ความสูญเสีย’ สัญญาณแรกของจุดเปลี่ยน
“ก่อนหน้านั้นผมเป็นฟรีแลนซ์ ทำงานสื่อ กำกับหนัง สอนหนังสือ วันหนึ่งผมอยู่ในห้องตัดต่อ แล้วน้องโทรมาบอกว่าพ่อเข้าโรงพยาบาล ผมก็เลยนั่งรถทัวร์กลับบ้าน ไปอยู่เฝ้าพ่อประมาณ 2 คืน พอพ่อใกล้จะออกจากโรงพยาบาล ผมก็สังเกตว่าพ่อหน้าเบี้ยว หมอก็ตรวจเจอว่าพ่อเส้นเลือดในสมองแตก เลยต้องอยู่โรงพยาบาลต่อ
“ผมจำได้ว่าพ่ออยู่โรงพยาบาลเกือบครึ่งเดือน ร่างกายทรุดลงเรื่อย ๆ จนในที่สุดพ่อก็เสีย ก่อนหน้านั้นเราก็พยายามทำความเข้าใจเรื่องการเตรียมตัวก่อนตาย แต่พอมาเจอเหตุการณ์จริง มันก็ก้าวข้ามยากอยู่ดี
“หลังจากจัดการเรื่องงานศพพ่อเรียบร้อย ก็เป็นจังหวะที่ผมเริ่มทำงานประจำ แค่อาทิตย์แรก ผมก็รู้สึกว่ามันไม่น่าจะเวิร์ก เพราะเราเป็นคนที่ชอบอิสระ แต่งานประจำมันเป็นระบบมาก แต่ตอนนั้นเราต้องมีรายได้ที่แน่นอน เพื่อสนับสนุนการเดินทางไป ๆ มา ๆ เพื่อทำธุระเรื่องการจัดการมรดก ตอนนั้นผมก็พยายามจัดการทุกเรื่องให้ดีทั้งเรื่องงานและเรื่องในครอบครัว แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือยิ่งเราพยายามบาลานซ์ความรู้สึกของทุกคนให้แฮปปี้ กลายเป็นว่าคนที่ทุกข์ที่สุดคือตัวเราเอง”
‘ความเจ็บป่วย’ สัญญาณเตือนที่ตอกย้ำชีวิตที่ไม่แน่นอน
“ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากไลน์ ผมจะกังวลไปแล้วว่ามันมีปัญหาอะไรให้แก้อีก แล้วเราจะแก้ได้ไหม ผมต้องถือโน้ตบุ๊กติดตัวไว้ตลอด บางทีไม่อยากรับโทรศัพท์แต่ก็ต้องคอยเช็กตลอดว่ามีเรื่องอะไรไหม มันเป็นช่วงที่เราทบทวนว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่มันคือซึมเศร้าหรือเบิร์นเอาท์กันแน่
“วันหนึ่งผมกำลังกินน้ำอยู่ แล้วจู่ ๆ ปากก็เริ่มเบี้ยว ดูดน้ำไม่ได้ น้ำไหลออกจากปาก ตอนนั้นคิดว่าตัวเองเป็นสโตรก คิดว่าตัวเองคงใกล้ตายแล้ว แต่โชคดีที่ไปโรงพยาบาลทัน แล้วหมอก็บอกว่าเราไม่ได้เป็นสโตรก แต่เป็นโรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก (Bell’s Palsy) ผมใช้เวลารักษาอยู่ 3-4 เดือน อยู่กับความไม่มั่นใจ จนหมอบอกว่าอย่าเครียดมากนะ
“เราก็เลยเห็นว่าที่ผ่านมาเราเก็บทุกอย่างไว้ตลอดเลย บางทีใจเราบอกว่าไหว แต่ร่างกายมันไม่ไหว ยิ่งวัยเราผ่านการใช้ร่างกายมาเยอะมาก ถ้าเราไม่ดูแล ไม่ถนอม พอถึงจุดหนึ่งร่างกายก็จะแสดงความผิดปกติออกมา”
เส้นทางชีวิตใหม่ที่เริ่มจากการฮีลใจตัวเอง
“เราเริ่มนึกถึงความตาย การตัดปัญหา การบวช ความสงบ แต่เราก็ยังห่วงแฟนเราอยู่ ที่ผ่านมาเขาเสียสละเพื่อให้เราใช้ชีวิตตามความฝันมาตลอด มันเลยกลายเป็นว่าจากคนที่มีแต่ฝันของตัวเอง อยากขึ้นไปอยู่บนยอด ทั้ง ๆ ที่บนยอดนั้นมันมีคนไปยืนได้แค่ไม่กี่คน ได้เริ่มเห็นคำตอบของชีวิตแล้วว่า เราอาจจะทำแบบนั้นไม่ได้ หรือต่อให้ทำได้มันก็จะอยู่กับเราได้แค่แป๊บเดียว
“ช่วงนั้นมันเป็นช่วงที่เราพยายามทำความเข้าใจและมองเห็นความสุขในความธรรมดา ซึ่งมันต้องใช้เวลาในการเรียนรู้ ระหว่างนั้นเวลาทุกข์ คิดอะไรไม่ออก เราก็ทอดไข่เจียว ทำแฮมเบอร์เกอร์ ทำก๋วยเตี๋ยว เพราะเวลาทำอาหารเราต้องจดจ่ออยู่กับมัน เรารู้สึกว่าการทำอาหารมันเยียวยาเราได้ มันเป็นช่วงที่เราสงบ ก็เลยคิดว่าอยากทำร้านอาหาร
“ผมชอบราเมน ชอบน้ำซุป และรู้สึกว่าความเป็นราเมนมันคือธรรมชาติบางอย่างที่เราอยากรู้ให้ลึกขึ้น ผมก็เลยหาข้อมูลไปเรื่อย ๆ จนไปเจอที่ที่อยากเรียน ตอนแรกครูที่ผมไปขอให้เขาสอน เขาไม่อยากสอนให้ เพราะงานครัวมันเป็นงานที่เหนื่อยและหนัก การไปเริ่มตอนอายุมาก เขากลัวเราไม่ไหว แต่ผมยืนกรานว่าผมอยากเรียน จนในที่สุดเขาก็ใจอ่อน ยอมสอนให้
“พอไปเรียนมันก็หนักจริง ๆ อย่างที่ครูบอก เพราะงานอาหารเป็นงานที่ละเอียดและต้องใช้ความอดทนมาก จำได้ว่าตอนเคี่ยวน้ำซุปกระดูกหม้อแรก จะร้องไห้ เพราะเริ่มเคี่ยวตั้งแต่ 9 โมงเช้า จากน้ำใส ๆ จนเป็นสีขาว จนกระดูกแตกละเอียด ก็ปาเข้าไป 3-4 ทุ่ม เราเคยทำงานประจำ อยู่กับความสบาย ต้องมาใช้แรงงานอยู่หน้าเตา อยู่กับความร้อน ตอนนั้นมันก็คิดว่าอายุ 50 ปีแล้ว ฉันมาทำอะไรตรงนี้ แต่พอทำไปเรื่อย ๆ ร่างกายก็เริ่มเคยชิน และปรับตัวได้
“ช่วงแรกที่เปิดร้าน ผมไม่กล้าตั้งราคา เราให้ลูกค้ากินแล้วจ่ายตามความพอใจ ลูกค้าส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อนบ้านแถวนี้ ซึ่งตอนนั้นก็มีทั้งคนให้เยอะและให้น้อย บางคนก็ไม่จ่าย จนถึงจุดหนึ่งเราก็รู้สึกว่าเราต้องตั้งราคาแล้ว เพราะไม่อย่างนั้นหลายคนที่เคยมากินแล้วเห็นว่าเราไม่คิดเงิน เขาก็จะเกรงใจและไม่กล้ากลับเข้ามากินอีก
“มีน้องคนหนึ่ง บ้านเขาอยู่ตรงข้ามร้าน เขาตกใจที่เห็นว่ามีร้านราเมนอยู่แถวนี้ แล้วเขาก็มากินโดยที่ไม่คาดหวังอะไร อาทิตย์ต่อมาเขาก็มาทำคลิปให้ มันก็อาจเป็นจุดแรกที่ทำให้คนเริ่มรู้จักเรา แล้วหลังจากนั้นก็มีลูกค้ามากินแล้วบอกต่อ จากลูกค้าในชุมชน ในหมู่บ้าน ค่อย ๆ ขยับเป็นลูกค้าในตลาด เวลาเขามากิน แล้วบอกมันอร่อย มันก็ทำให้เรามีกำลังใจและมั่นใจมากขึ้น”
เมนูแห่งความรักและคิดถึง
“การทำราเมนช่วยผมได้หลายอย่างนะ เพราะส่วนใหญ่เวลาทำเราจะใช้วัตถุดิบธรรมชาติ ไม่ปรุงแต่ง เป็นการเอารสธรรมชาติออกมา มันดูเหมือนจะเรียบง่าย แต่ต้องใส่ใจ ต้องใช้สมาธิมาก มันทำให้ใจเราสงบ เพราะต้องจดจ่ออยู่กับเขา ถ้าเราใจลอย กระดูกที่เคี่ยวอยู่จะไหม้เลย แล้วเวลาเคี่ยวน้ำซุปเราก็ต้องอดทนรอทั้งวัน มันก็เป็นการทดสอบจิตใจว่าเราจะรอคอยได้ไหม
“ที่สำคัญการทำราเมนทำให้ผมนึกถึงพ่อ เพราะตอนเด็ก ๆ ผมเคยบอกพ่อว่าอยากกินบะหมี่ญี่ปุ่น ซึ่งตอนนั้นมันหาไม่ได้หรอก หาทั้งอำเภอ ทั้งจังหวัดก็ไม่มี ผมจำได้ว่าพ่อพาผมไปกินร้านบะหมี่เกี๊ยวเจ้าดังเจ้าหนึ่ง แล้วน้ำซุปมันร้อน พ่อก็เลยเอาน้ำแข็งใส่ลงไปในน้ำซุปให้ จนผมเข้าใจว่าสิ่งนั้นมันคือบะหมี่ญี่ปุ่นอยู่นาน ทุกครั้งที่ผมทำราเมน ผมก็จะนึกถึงตอนที่ผมอยู่กับพ่อ บางช่วงผมคิดถึงพ่อมาก ๆ ผมก็จะเทน้ำแข็งใส่ลงในไปในน้ำซุป
“ถึงแม้ว่าการสูญเสียมันเป็นเรื่องธรรมชาติที่เราต้องก้าวข้ามผ่านให้ได้ แต่ผมเชื่อว่าหลายคนก็ทุกข์จากภาวะนั้น แต่ผมก็มาคิดได้ว่า ถึงแม้พ่อจะจากไปแล้ว แต่เราก็ยังระลึกถึงเขาได้ แล้วเราก็ไม่อยากใช้ชีวิตให้เขาเสียใจ”
ไม่เร็ว ไม่ช้า เพราะเวลาชีวิตที่ดีที่สุดคือวันนี้
“เรามักจะก้าวข้ามไม่พ้นกรอบที่ว่าวัยนี้แล้วทำไมต้องไปเรียนรู้อะไรใหม่ ทำสิ่งที่ทำอยู่แล้วดีกว่า ซึ่งมันถูกต้อง แต่ไม่ถูกทั้งหมด เพราะถ้าเรามองด้วยมุมที่ว่า ไม่ว่าวัยนี้หรือวัยไหน ชีวิตมันก็ไม่แน่นอน วันนี้ก็คือวันนี้ อนาคตยังมาไม่ถึง เราแค่ทำวันนี้ให้มีความสุข ซึ่งจุดที่มีความสุข บางทีมันอาจจะเป็นจุดใหม่ก็ได้
“พอถึงวัยนี้ ถ้ามองเป็นเส้นตรง ผมว่ามันเลยจุดกึ่งกลางไปแล้ว และกำลังจะไปสู่ปลายทาง ถ้าเป็นพระอาทิตย์ ก็เลยช่วงเที่ยงไปแล้ว ไม่รู้ว่ามันจะตกดินเมื่อไร ความคิด ความเชื่อต่าง ๆ ที่เราเคยถูกหล่อหลอมมามันถูกท้าทายไปเยอะว่า สิ่งที่เราเคยคิด เคยเชื่อ มันถูกไหม มันเป็นวัยที่เราได้มองเห็นความเปลี่ยนแปลง
“ยิ่งอายุมาก ยิ่งทำให้เราเข้าใจโลก เข้าใจความจริงของชีวิตมากขึ้น และเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เราเห็นมาตลอดมันไม่มีอะไรที่ยั่งยืน แต่ก่อนเรามักจะใช้ชีวิตเปรียบเทียบกับคนอื่น อยากเป็นเหมือนเขา พอเปรียบเทียบเยอะ ๆ แล้วรู้สึกว่า เราไปไม่ได้ ทำไม่ได้ มันก็ทุกข์ ทั้ง ๆ ที่ถ้าเรามานั่งดูจริง ๆ ขนาดลายมือคนเรายังไม่เหมือนกันเลย ดังนั้น เราดูแค่ตัวเองก็พอว่า เราเป็นแบบนี้ ทำแบบนี้ แล้วเรามีความสุขไหม
“เราแค่ยินดีกับความสำเร็จของคนอื่น โดยที่เราไม่จำเป็นต้องเป็นแบบเขาก็ได้ เพราะความสำเร็จของเราอาจเป็นแค่การตื่นขึ้นมาแล้วยิ้มให้ตัวเองได้ แค่นั้นผมว่ามันก็โอเคแล้ว ผมเชื่อว่าถ้าเราเข้าใจตัวเองจริง ๆ มองเห็นข้อดี ข้อด้อย และตอบคำถามตัวเองได้ว่าเราต้องการอะไร มันจะพาเราไปสู่จุดยืนที่ถูกต้อง แต่สุดท้ายไม่ว่าเราจะไปอยู่ตรงไหน มันก็จะมีทั้งความสุขและความทุกข์เสมอ ตอนสุขเราก็แค่บอกตัวเองว่า อย่าหลง อย่ายึดติด เพราะเดี๋ยวมันก็ผ่านไป แล้วพอตอนทุกข์ ก็บอกตัวเองว่ามันเป็นเรื่องธรรมชาติ ที่เราต้องรับมือกับมันให้ได้”