รู้หรือไม่ ? ข้อมูลจากองค์การอนามัยในโลกในปี 2021 บอกว่า เกือบครึ่งหนึ่งของคนทั่วโลก หรือประมาณ 3.1 พันล้านคนได้รับผลกระทบจากอาการปวดหัวซ้ำ ๆ
แม้อาการปวดหัวจะดูเหมือนความเจ็บป่วยทั่วไปที่ไม่ได้ดูมีอะไรร้ายแรง กินยาแล้วนอนพักเดี๋ยวก็หาย แต่ความจริงอาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นตลอด เพราะบางครั้งการปวดหัวก็รุนแรงและอาจสร้างความเจ็บปวดได้มากกว่าการคลอดลูก หรือการถูกยิงด้วยซ้ำ แต่โชคดีที่การปวดหัวแบบนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมากเพียงแค่ 0.1%
แล้วคุณเคยสงสัยบ้างไหมว่า ปวดหัวแบบไหนที่แค่กินยาแล้วนอนพักได้ และปวดหัวแบบไหนต้องรีบไปหาหมอ ? เราอาจสังเกตความต่างนี้ได้ง่ายขึ้นด้วยการใช้หลัก ‘SNOOP4’
1.Systemic signs (อาการทางระบบ หรือ อาการที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายโดยรวม ไม่ใช่เฉพาะเจาะจงที่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง) : ปวดหัวร่วมกับมีไข้สูง เหงื่อออกตอนกลางคืน หรือมีภาวะภูมิต่ำ
2.Neurological symptoms (อาการทางระบบประสาท) : ปวดหัวร่วมกับอาการแขนขาอ่อนแรง ชาแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตาเบลอ หรือมองเห็นไม่ชัด
3.Onset is sudden (เริ่มต้นแบบเฉียบพลัน) : ปวดหัวแบบเฉียบพลันและรุนแรง อาจเป็นสัญญาณความผิดปกติของหลอดเลือด และนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดโป่งพอง
4.Older age at onset (เริ่มมีอาการหลังอายุ 50 ปี) : การปวดหัวครั้งแรกที่เกิดขึ้นในคนอายุมากกว่า 50 ปี และเป็นการปวดหัวแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
5.Progression (มีอาการมากขึ้นเรื่อย ๆ) : อาการปวดหัวที่เกิดถี่ขึ้น หรือปวดรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
6.Papilledema (ภาวะประสาทตาบวม) : ตาบวมหรือตาแดงผิดปกติ มองเห็นไม่ชัด อาจเป็นสัญญาณของความดันสมองสูง
7.Positional / Precipitated by Valsalva (สัมพันธ์กับท่าทางหรือการเบ่ง) : การปวดหัวที่มีอาการปวดสัมพันธ์กับท่าทาง หรือเกิดขึ้นจากการเบ่ง เช่น การไอ จาม หรือขับถ่าย อาจเป็นสัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับความดันสมองหรือเนื้องอก
8.Pregnancy (การตั้งครรภ์) : ถ้ามีอาการปวดหัวแบบฉับพลันและปวดแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในระหว่างตั้งครรภ์หรือหลังคลอด ควรรีบไปหาหมอเพื่อตรวจหาภาวะผิดปกติเกี่ยวกับโรคของต่อมใต้สมองหรือหลอดเลือด
หากคุณมีอาการปวดหัวที่ดูแล้วเข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่งจาก 8 ข้อทั้งหมดนี้ ถือเป็นสัญญาณอันตราย ควรรีบไปหาหมอ
แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ควรจะกังวลกับการปวดหัวมากจนเกินไป เพราะ 90% ของอาการปวดหัวที่พบบ่อยในคนทั่วไปเป็นการปวดหัวที่ไม่รุนแรง เพียงแค่ปรับพฤติกรรมสุขภาพ พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงความเครียด อาการก็จะค่อย ๆ ดีขึ้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยา
แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่เราควรระวังไว้ คือ การกินยาแก้ปวดที่บ่อยหรือมากเกินไป อาจมีผลกระทบต่อสุขภาพ และสร้างเรื่องที่ชวนปวดหัวมากกว่าเดิม เพราะอาจทำให้เกิด Medical Overuse Headache (MOH) หรืออาการปวดหัวจากการใช้ยามากเกินไป ที่ทำให้ปวดหัวมากขึ้น ปวดบ่อยขึ้น และอาจปวดต่อเนื่องนานเกิน 3 เดือน เคยกินยาแล้วหายก็ไม่หาย ทำให้ยิ่งต้องกินยาเพิ่มขึ้นไปอีก และอาจทำให้เกิดอาการปวดหัวในเวลานอนได้ เพราะไม่ได้กินยา
ถ้าปวดหัวขึ้นมาแล้วรู้สึกถึงสัญญาณ 8 ข้อข้างต้น ก็อย่าลังเลที่จะรีบไปหาหมอ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
อ้างอิง:
https://www.who.int/news-room/fact-sheets/detail/headache-disorders