“ตลอดเวลาเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา ถึงแม้มันจะเหนื่อยมาก แต่เราจัดการความเหนื่อยได้ เรามีความสุขที่เราได้เหนื่อย เพราะถ้าเราไม่เหนื่อยก็แสดงว่าเราไม่ได้มีเขาอยู่”
วันแม่ปีนี้ มนุษย์ต่างวัยขอหยิบยกส่วนหนึ่งจากบทสนทนากับ ‘แม่หน่อย’ กนกวรรณ หรุ่นบรรจบ เจ้าของเพจ ‘มีลูกเป็นครู’ จากรายการ มนุษย์ต่างวัย Talk กับ ประสาน อิงคนันท์ EP.37 มาฝากทุกคนที่อาจกำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบากในชีวิต และส่งพลังใจให้คุณแม่ทุกคนที่กำลังทำหน้าที่แม่อย่างดีที่สุดในแบบของตัวเอง
‘แม่หน่อย’ คือ แม่ที่มีลูกชายชื่อ ‘น้องตโจ’ ที่ป่วยด้วยโรค Giant Omphalocele หรือภาวะผนังหน้าท้องเติบโตผิดปกติ ทำให้ ตับ ม้าม กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก และลำไส้ใหญ่ ออกมาอยู่นอกช่องท้องทั้งหมด
ตลอดเวลาเกือบ 10 ปีเต็มในบทบาทของความเป็นแม่ มีเรื่องราวมากมายที่แม่หน่อยได้เรียนรู้ แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้เธอผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้ก็คือความเชื่อมั่นใน ‘ความรัก ศรัทธา ปาฏิหารย์’ อย่างที่เธอมักจะเขียนลงท้ายไว้ในบันทึกของเพจเสมอ
ถึงแม้ว่าตอนแรกเธอจะไม่เคยมีความคิดว่าจะมีลูก แต่พอวันแรกที่รู้ตัวว่าท้อง “ความเป็นแม่” ก็เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติในแบบที่ไม่ต้องใช้ความพยายาม เธอเปลี่ยนพฤติกรรมหลายอย่างที่จะทำร้ายสุขภาพของลูก ไม่ว่าจะเป็นการดื่มกาแฟ ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ทำงานหนัก และตั้งหน้าตั้งตารอวันที่ลูกจะได้ออกมาลืมตาดูโลกเหมือนแม่ ๆ ทั่วไป แต่ความสุขก็สั้นกว่าที่คิด เพราะตอนที่ท้องได้ 4 เดือน เธอก็ตรวจพบว่าลูกของตัวเองมีความผิดปกติ
วันเปลี่ยนชีวิต
“พอท้องได้ 4 เดือน หมอก็บอกว่าเราต้องย้ายจากโรงพยาบาลเอกชนไปโรงพยาบาลรัฐบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์ เพราะตอนนี้เด็กหน้าท้องไม่ปิด ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ตับ ม้าม กระเพาะอาหาร หลุดออกมาหมดเลย ในตัวเหลืออยู่แค่ปอดกับหัวใจ
“ความคิดแว็บแรกที่เข้ามา คือ เราจะไม่มีซีนภาพถ่ายพ่อแม่ลูกในห้องคลอดแล้ว เพราะตอนนั้นเราคิดได้แค่สั้น ๆ มันยังไม่ทันคิดถึงผลระยะยาวที่จะตามมา เรายังช็อกกับสิ่งที่ได้รับรู้อยู่ แต่พอระหว่างทางกลับบ้าน เราร้องไห้หนักมาก
“ตอนที่เห็นหน้าลูกครั้งแรก เราไม่ร้องไห้เลย คิดแต่ว่าเมื่อไรเขาจะหาย ถ้าผ่าตัดจะหายไหม เรามีแต่คำถามเต็มไปหมด พอคลอดออกมาน้องต้องอยู่ NICU ใส่ท่อช่วยหายใจ ต้องให้อาหารทางสายยางตั้งแต่เกิด และต้องให้ยานอนหลับอยู่ตลอด มีช่วงที่ตื่นน้อยมาก เพราะถ้าเขาตื่น เขาจะต้านเครื่องช่วยหายใจ
“เราไปเยี่ยมลูกที่โรงพยาบาลทุกวัน ไปยืนดูอยู่ข้าง ๆ ตู้ ถ้าวันไหนติดงานก้จะไปเยี่ยมลูกก่อน แล้วกลับมาทำงานต่อ ที่เราไปหาเขาทุกวัน เพราะเขามีเราคนเดียวที่เป็นคนที่เขารู้จัก เขาต้องการกำลังใจ ถึงแม้ว่าเขาจะยังบอกเราไม่ได้ แต่เรารู้สึกว่าเราต้องไป มันไม่ใช่แค่หน้าที่แต่มันคือการจับมือเดินไปด้วยกัน
“ความมหัศจรรย์คือถึงแม้ว่าเขาจะหลับอยู่ตลอด แต่เวลาที่เราเข้าไปเยี่ยม อัตราการเต้นของหัวใจเขาจะเพิ่มขึ้น เราคิดว่ายามันช่วยกดประสาท กดกล้ามเนื้อ แต่มันไม่ได้กดความรู้สึกหรือจิตใต้สำนึก เวลาไปเยี่ยมเขา เราจะไปอ่านนิทานให้เขาฟัง พอครบ 3 เดือน เราเริ่มสัมผัสตัวเขาได้ เราก็ไปบีบแขนขาให้เขา
“เรารู้สึกว่าการรักษาเป็นหน้าที่ของหมอ แต่การที่อยากให้เขาอยู่กับเรามันเป็นหน้าที่ของเรา อะไรที่ช่วยได้ เราก็จะช่วย จนกระทั่งเข้าเดือนที่ 4 หมอบอกว่าเขาเหลือเวลา 3 วันสุดท้าย เพราะร่างกายเขาติดเชื้อไวรัส แบคทีเรีย และเชื้อราพร้อมกัน แต่เขาไม่ตอบสนองต่อยาอะไรเลย หมอเลยบอกให้เราเตรียมใจไว้ พอถึงวันที่สามพ่อน้องเข้าไปเยี่ยมในห้อง แล้วเขาก็บอกกับลูกว่า ‘ไม่ต้องอดทนเพื่อพ่อแม่นะ ถ้ามันเหนื่อยมาก ไม่ไหวก็ไปเลย ไม่ต้องห่วงพ่อกับแม่ แต่ถ้าไหวแล้วอยากสู้ต่อ ก็ขอให้สู้แล้วรับยาที่หมอให้ ชีวิตเป็นของลูก ไม่ใช่ของพ่อแม่ ลูกเลือกเลย’ พอวันรุ่งขึ้นหมอก็โทรมาบอกว่าร่างกายน้องกลับมารับยาได้แล้ว”
‘วันนี้’ ดีที่สุด
“พอผ่านจุดที่ความตายมันอยู่ในมือมาแล้ว มันทำให้เราเอ็นดูทุกอย่างบนโลกไปเลย เราไม่ได้เผชิญเรื่องต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้นด้วยความอ่อนแอ แต่เรามองทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผล และไม่ตัดสินเรื่องต่าง ๆ จากมุมของตัวเองอย่างเดียว เรากลับมาเป็นคนที่อยู่กับปัจจุบัน ของขวัญที่ดีที่สุดที่ตโจให้พ่อกับแม่ คือ การยังมีลมหายใจ แค่ยังหายใจอยู่ก็ดีแล้ว ยังได้อยู่ด้วยกันแบบนี้ก็ดีแล้ว และตราบใดที่เราเชื่อว่ามันจะดีขึ้น มันก็จะดีขึ้นอีก
“การที่ลูกต้องอยู่ในห้อง ICU เป็นปี ๆ หลับอยู่ตลอด การที่หมอบอกว่าลูกจะเดินไม่ได้แน่ ๆ หรือการที่เรื่องต่าง ๆ มันถูกฟันธงไปในทางที่ไม่ดี หลายคนบอกว่าเขาคงรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้นแบบเราไม่ได้ แต่เราไม่ได้ฟูมฟายไปกับมัน เราคิดแค่ว่าเราทำหน้าที่แม่ที่ต้องทำสิ่งต่าง ๆ ที่ลูกร้องขอ เช่น ช่วง 1 ปีหลังออกจากห้อง ICU เรารู้สึกว่าเขาพยายามที่จะนั่ง เราก็ช่วยให้เขาได้นั่ง หาท่าทางที่มันถูก หาหมอด้านพัฒนาการ หาหมอด้านเวชศาสตร์ฟื้นฟูมาช่วยเขา หมอบอกว่าเขาอาจจะเดินไม่ได้ เพราะท้องมันใหญ่มาก เราก็ไม่ได้ฟูมฟายอะไร เพราะมันแค่อาจจะเกิด แล้วเราก็พาลูกไปฝึกเดิน จนเขาเดินได้อย่างทุกวันนี้
“พอเขาเริ่มแข็งแรง เราก็พาเขาออกไปใช้ชีวิตมากขึ้น ถึงแม้ว่ามันจะต้องถือความเสี่ยงไปด้วย แต่ถ้าอยู่บ้านก็ป่วย ไปข้างนอกก็ป่วย สู้เลือกให้ลูกไปเห็นโลกข้างนอกดีกว่า มันเป็นการเปิดโลก เปิดประสบการณ์ให้เขา เพื่อให้เขาใช้ชีวิตได้ในวันที่พ่อแม่ไม่อยู่ ตโจเคยถามว่าทำไมเขาแตกต่างจากคนอื่น เราก็เลยบอกว่า จริง ๆ แล้วทุกคนแตกต่างกันหมด เห็นไหมว่าไม่มีใครหน้าเหมือนกันเลย เพราะฉะนั้นมันก็ไม่แปลกเลยที่ทุกคนจะแตกต่างกัน
“เคยมีคนถามว่าเขาเคยเห็นเด็กหลายคนที่ป่วยตั้งแต่เกิดจะดูไม่สดใส ทำไมตโจไม่เป็นแบบนั้น เราบอกว่า เราก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่เราไม่ได้ทำให้โรคมันน่ากลัว เราไม่ได้บอกว่าเขาคือจุดดำในผ้าขาว เขาไม่ใช่ปัญหาสำหรับพ่อแม่ ถ้าเราไม่ตัดสินเขา มันก็จะทำให้เขากล้าที่จะอยู่ และไม่รู้สึกเป็นภาระ
“เวลามีคนมาคุยกับเราในเพจ เราจะบอกว่าอย่ามองว่าเด็กที่ป่วยเป็นภาระ อย่ามองว่าเขาไม่เหมือนคนอื่น เพราะเมื่อไรก็ตามที่คุณกากบาทบนหน้าเขา คุณก็จะเห็นแต่กากบาทที่อยู่บนหน้า แต่ไม่ได้เห็นตัวตนจริง ๆ ของเขา”
มีลูกเป็นครู
“ในความเป็นแม่ เราได้เรียนรู้ว่าเราทุกคนเกิดมาเพื่อเกื้อกูลกัน เราไม่ได้ดูแลตโจเพราะเรามีฐานะเป็นแม่ ตโจก็ไม่ได้เติบโตขึ้นเพื่อตัวเอง แต่เขาเติบโตและแข็งแรงเพื่อให้แม่มีความสุข เราก็ทำหน้าที่ของเราเพื่อให้เขามีความสุข พอเราเกิดมาเพื่อเกื้อกูลกัน เห็นอกเห็นใจกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้ชีวิตง่ายขึ้น
“อีกเรื่องที่เราได้เรียนรู้คือการไม่ตัดสิน เราอยู่กับการตัดสินมาตั้งแต่เด็ก ทั้งการที่เราถูกตัดสินและเราตัดสินคนอื่น แต่พอมีตโจ เราไม่เคยตัดสินเลยว่าลูกเป็นแบบนี้เพราะอะไร ลูกผิดปกติเพราะฉันหรือเปล่า เราไม่หาคนรับผิด เรามองหาแต่ว่าเราจะทำอะไรต่อไปในแบบที่เราทำได้
“ทุกวันนี้เรายังรู้สึกว่าปาฏิหาริย์เกิดขึ้นอยู่ทุกวัน คำว่า ‘ปาฏิหาริย์’ มันดูยิ่งใหญ่ แต่ถ้าเราตีความให้มันเป็นเรื่องใกล้ ๆ ตัว ปาฏิหาริย์มันก็เกิดได้ง่ายขึ้น เราพูดกับพ่อตโจเสมอว่า เราต้องฝึกทักษะความสุข เพราะความสุขมันไม่ได้เกิดขึ้นมาได้เองในเวลาที่เราเจอเรื่องทุกข์มาถี่ ๆ บางครั้งเราก็ลืมว่าความสุขมันเป็นอย่างไร แต่ถ้าเราฝึกที่จะมีความสุข แค่วันนี้รถไม่ติดมันก็คือเรื่องดี ๆ แล้ว แค่ทำให้ความสุขมันเป็นก้อนเล็กลง ทำให้มันเกิดขึ้นบ่อย ๆ พอทักษะความสุขเยอะขึ้นมันจะกลายเป็นสิ่งที่อยู่ติดตัวเรา”
ส่วนหนึ่งจากรายการมนุษย์ต่างวัย Talk กับประสาน อิงคนันท์ สามารถรับชมคลิปเต็มได้ที่นี่