ความทุกข์เป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะธรรมชาติออกแบบมาให้เรามีความคิด ความรู้สึก เพื่อให้เราเรียนรู้ ไม่ใช่เพื่อให้เราหนี

“แค่เป็นมนุษย์ ก็มีคุณค่าแล้ว”

นั่นคือสิ่งที่ รศ.ดร.นพ.ชัชวาลย์ ศิลปกิจ ผู้อำนวยการศูนย์จิตตปัญญาศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวย้ำอยู่ตลอดการสนทนาในรายการมนุษย์ต่างวัย Talk กับ ประสาน อิงคนันท์ ในประเด็นของภาวะ Midlife Crisis หรือความทุกข์ในช่วงกลางของชีวิต ที่เกิดขึ้นกับคนวัย 40+ หลาย ๆ คน ที่วันนี้อาจรู้สึกว่าชีวิตเดินทางมาถึงครึ่งทางแล้ว มีบทบาท หน้าที่มากมายที่ต้องรับผิดชอบ แต่บางช่วงเวลากลับตอบไม่ได้ตัวเองเป็นใคร แค่ทำสิ่งที่ควรจะทำไปทุกวัน จนรู้ตัวอีกที ก็อาจจะแค่ ‘มีชีวิต’ แต่ลืมที่จะ ‘ใช้ชีวิต’

หลายคนพอใช้ชีวิตผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านวันเวลามาได้สักระยะหนึ่งก็มักจะกลับไปคิดทบทวนถึงเรื่องราวในอดีต เสียดายกับสิ่งที่เคยเกิดขึ้น และคิดว่าตัวเองน่าจะทำได้ดีกว่านี้…

“ช่วงที่เราคิดวกวนมักจะเป็นช่วงที่เรารู้สึกไม่มั่นคง ไม่ปลอดภัย พอยิ่งคิด ยิ่งกลัว เราก็ยิ่งหวั่นไหว แล้วพอคิดไปเรื่อย ๆ ก็ยิ่งกังวลจนเริ่มกินไม่ได้ นอนไม่หลับ พอนานวันเข้าก็นำไปสู่ความวิตกกังวล ซึมเศร้า แต่ถ้าเราเคยฝึกจิตใจ เราจะรู้ว่าช่วงนี้เราไม่ปกติ เราจะเห็นว่าใจมันหวั่นไหว เราก็นิ่งไว้ก่อน ถามตัวเองว่าเราหวั่นไหวกับอะไร

“พอเรามีสติ เรานึกขึ้นมาได้ เราก็จะรู้ว่ามันผ่านไปแล้ว เราเห็นแล้วว่าเรากำลังคร่ำครวญกับอดีตที่แก้ไม่ได้ สิ่งที่เราทำได้คือวันนี้เราจะทำอะไรต่อ พอเห็น เราก็หยุด แล้วเปลี่ยนไปทำอย่างอื่น ออกไปเดินเล่น เปลี่ยนอารมณ์ นี่คือการดูแลตัวเอง สักพักพอกลับมาคิดอีก เราก็แค่รู้ว่ามันกำลังคิด ฝึกรู้ทันมันไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวเราก็จะชำนาญ และเริ่มปล่อยภาระจากการหลงไปอดีตที่ไม่มีคำตอบ”

ความไม่แน่นอนคือความแน่นอน

“มีคนเคยถามผมว่า ผมไม่มีลูก พอแก่ตัวไปแล้วจะทำอย่างไร ใครจะดูแล ผมถามก่อนว่าแล้วแน่ใจได้อย่างไรว่าลูกจะไม่จากไปก่อนเรา หรือแน่ใจได้อย่างไรว่าถ้าลูกอยู่ แล้วเขาจะดูแลเรา สิ่งที่ต้องคิดจริง ๆ คือเราต้องพึ่งตัวเองให้ได้ และการที่จะพึ่งตัวเองได้ เราก็ต้องดูแลสุขภาพ ดูแลอย่างเต็มที่เท่าที่เราจะทำได้ สุดท้ายถ้าวันหนึ่งมันจะเป็นอะไรไป เราก็แค่ยอมรับมัน

“การที่เรารู้สึกกลัว แล้วมัวแต่คิดถึงเหตุการณ์เดิมซ้ำ ๆ มันไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น เราจะไม่ได้เรียนรู้ชีวิต ไม่ได้ทำความเข้าใจชีวิตเลย เพราะเรามัวแต่ปกป้องไม่ให้มันเกิด เราซื้อประกัน ซื้อรถดี ๆ ตรวจเช็กสุขภาพ เราทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองแน่ใจ มั่นใจไปหมด เราไม่ได้เผื่อใจเลยว่า ถึงแม้ว่าเราจะทำทุกอย่างให้แน่นอน แต่ชีวิตมันก็เอาแน่เอานอนไม่ได้ ความตาย ความพลัดพรากต่างหากที่เป็นของแน่นอน การที่เราดูแลตัวเองดี ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะต้องปลอดภัย

“การเจอวิกฤต เจอปัญหาชีวิตก็เหมือนกับการตกน้ำ เราตกลงไปหลายรอบแล้ว แต่สิ่งที่เราทำคือเราบอกว่าครั้งหน้าเราจะไม่ตกลงไปอีก ทั้งที่จริง ๆ เราต้องหัดว่ายน้ำได้แล้ว”

เหงาบ้าง เบื่อบ้างก็ได้ เพราะมันคือธรรมชาติของชีวิต

“ทักษะสำคัญในศตวรรษที่ 21 คือ ทักษะการอยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไร ถ้ามันจะเหงา จะเบื่อบ้าง ก็ไม่เป็นไร ความเบื่อ ความเหงา ความคิด มันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เหมือนความแปรปรวนของสภาวะดินฟ้าอากาศ เวลาที่พายุมา เราก็อยู่ในบ้าน อยู่ในที่ปลอดภัย เวลาที่ความคิด ความเหงา ความเบื่อมันเกิดขึ้น เราก็แค่อยู่กับลมหายใจ อยู่กับการรู้เนื้อ รู้ตัวไปก็แค่นั้น

“เวลาที่เราว่าง ไม่ได้ทำอะไร เราจะฟุ้งซ่าน มีปัญหา วิตกกังวล สิ่งนี้มันคือกลไกธรรมชาติของสมอง ตราบใดที่สมองยังไม่ตาย มันก็ต้องผลิตความคิด สิ่งที่เราต้องเรียนรู้คือเราจะตอบสนองต่อความคิดที่เกิดขึ้นอย่างไร หลายคนพยายามจะไปเอาออก พยายามจะไปควบคุมสมอง ควบคุมความคิด

“เคยมีพระรูปหนึ่งท่านเขียนไว้ว่า ‘ทำไมเวลาเรานั่งสมาธิ เราไม่เห็นต้องบังคับให้หัวใจ ตับ ไต ไส้ พุงหยุดทำงานเลย แล้วทำไมเราต้องบังคับสมองให้หยุดทำงานด้วย’ ก็ปล่อยให้มันทำงานไป เราแค่รู้มันก็พอ จิตฟุ้งซ่านก็รู้ว่ามันฟุ้งซ่าน จิตเป็นกุศล ก็รู้ว่ามันเป็นกุศล

ผิดบ้าง พลาดบ้างเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้ทำให้ ‘คุณค่า’ ของเราหายไป

“พอเราอายุมากขึ้น เราต้องระวังไม่ให้ตัวเองหวั่นไหวเกินกว่าเหตุ เราชอบคิดว่าเกษียณแล้ว ไม่ได้ทำอะไรแล้ว เราจะอยู่ไม่ได้ ทั้งที่จริง ๆ แล้ว เราอยู่ได้

“ที่ผ่านมา ค่านิยมต่าง ๆ ในสังคมพาให้เราคิดกันไปว่า เราต้องทำสิ่งนั้น สิ่งนี้ เราถึงจะมีคุณค่า ทั้งที่แค่เราดูแลสุขภาพ ยอมรับความเจ็บป่วยของตัวเองได้ เราก็มีคุณค่าแล้ว ไม่ว่าเราจะเป็นอะไรก็ตามแต่ อย่างน้อยเราเป็นคน เรามีคุณค่า มีความหมายด้วยความเป็นคน นอกจากนั้นมันเป็นเหมือนของแถมที่เพิ่มขึ้นมา

“เราถูกโปรแกรมมาว่าค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน จริง ๆ แล้วมันไม่เกี่ยวเลย เพราะบางครั้งเราก็ตั้งใจทำงานมาก แต่ดันมาเกิดปัญหาทางเทคนิคในตอนสุดท้ายจนทำให้งานผิดพลาด นั่นแปลว่ามันจบ มันล้มเหลวเลยเหรอ

“จริง ๆ แล้วสิ่งที่มีปัญหาคืองาน ไม่ใช่ตัวเรา ผมยกตัวอย่างให้นักเรียนหลายคนฟังว่า เวลาตอบคำถามผิด มันมีปัญหามันที่คำตอบนะ ไม่ได้มีปัญหาที่ตัวเรา เวลาเราตอบผิด เราก็แค่ไม่ได้คะแนน แต่คุณค่าเราไม่ได้ลดลง เราอาจเป็นเด็กหลังห้องในเชิงคะแนน แต่เรายังเป็นมนุษย์เท่ากัน และการสอบตกก็ไม่ได้แปลว่าเราเป็นคนที่ล้มเหลว

“หลายครั้งเราเอาทุกอย่างไปพ่วงไว้ด้วยกันหมด ทั้ง ๆ ที่มันไม่เกี่ยวกันเลย ทุกคนเพิ่มคุณค่าตัวเองด้วยยอดไลก์ ยอดแชร์ ด้วยผลงาน พอไม่มีผลงาน ไม่มีงาน หลายคนก็รู้สึกแย่ ช่วงโควิด-19 หลายคนยังได้รับเงินเดือนอยู่ แต่ไม่มีงานให้ทำ พอเป็นแบบนั้นก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า นั่งหายใจทิ้งไปวัน ๆ ซึ่งมันไม่ใช่ เราหายใจแบบมีสติได้ เราเจริญสติ พัฒนาตัวเองได้ เรามีคุณค่าด้วยความเป็นมนุษย์ของเรา”

ถ้าคิดแล้ววางใจได้ เราก็จะไม่ทุกข์

“สุดท้ายชีวิตคนเราขับเคลื่อนด้วยปัจจุบันขณะ สิ่งที่เรากังวลไปล่วงหน้ามันก็ไม่ได้อะไร แค่เรามีสติระลึกรู้ เข้าใจความเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติ ช่วงเวลาที่ผ่านมาเราอาจจะหนีอยู่ตลอด เราปกป้องตัวเองด้วยการทำนั่นทำนี่ ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาปกป้องแล้ว แต่เป็นเวลาที่เราต้องพร้อมที่จะเผชิญทุกอย่าง

“ถ้าเรามองการฝึกเจริญสติเหมือนการขี่จักรยาน ทุกวันนี้เราเรียนทฤษฎีกันเยอะมาก ทุกคนเปิดตำราการขี่จักรยานสารพัดเล่ม อ่านแล้วชอบวิธีการที่คนนั้น คนนี้บอก แต่เราไม่เคยขี่จักรยานเลย หรือขี่กันน้อยมาก เหมือนกับคนที่ชอบแชร์คำคม คำสอนธรรมะ แต่ไม่เคยฝึกสติ คนจำนวนไม่น้อยยังติดอยู่กับตำรา แล้วมานั่งเถียงกันว่าใครเขียนดีกว่ากัน ในขณะที่หลายคนกระโดดขี่จักรยานเลย โดยที่ไม่ต้องอ่านคู่มือ ซึ่งอาจจะทำถูกบ้าง ผิดบ้าง เวลาทำผิดก็ขอคำแนะนำเพิ่มจากคนอื่น หลายครั้งคนกลุ่มนี้กลับไปได้เร็วกว่าคนที่ยังอ่านคู่มืออยู่ด้วยซ้ำ

“ถ้าเราตั้งคำถามเยอะ ๆ เราจะทนไม่ได้กับจินตนาการหรือความคิดของตัวเอง ใจเราก็จะดิ่งลงเรื่อย ๆ แต่ถ้าเรารู้ว่าความคิดมันจริงแค่ตอนที่เราเชื่อ มันไม่ได้จริงโดยตัวมันเอง เหมือนกับยา  ที่ไม่ได้เป็นยาโดยสำเร็จรูป แต่มันเป็นยาตอนที่เรากินเข้าไปแล้วมันออกฤทธิ์

“ความคิดคนเราก็เหมือนกัน มันจะมีอิทธิพลกับชีวิตเราก็ต่อเมื่อเราเอามันมาใส่ใจ ให้เราทบทวนและวางใจว่ามันเป็นปรากฏการณ์หนึ่งที่เราห้ามมันไม่ได้ ยิ่งพยายามที่จะไม่คิด มันจะยิ่งคิด เราสั่งสมองไม่ได้ แต่เราวางมันได้ แค่ปล่อยมันไว้ แล้วกลับมาอยู่กับลมหายใจ พอฝึกบ่อย ๆ ความชำนาญในการที่จะไม่ถูกครอบงำด้วยความคิดก็จะค่อย ๆ แข็งแรงขึ้น และเราก็จะมีภูมิคุ้มกันทางใจที่ดีขึ้น”

ส่วนหนึ่งจากรายการมนุษย์ต่างวัย Talk กับประสาน อิงคนันท์

Credits

Author

ถึงจะต่างวัยแต่ก็
อยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ